คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16502/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ร่วมกู้ยืมเงินเพื่อนำไปใช้จ่ายในการเล่นการพนันโดยยึดถือรถกระบะที่โจทก์ร่วมเช่าซื้อมาจากผู้ให้เช่าซื้อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ร่วมนำรถกระบะกลับไปใช้ และโจทก์ร่วมไม่นำรถกระบะกลับมาคืนภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีอำนาจนำรถกระบะกลับมายึดถือครอบครองโดยโจทก์ร่วมไม่ยินยอม การที่จำเลยที่ 1 เอารถกระบะไปจากโจทก์ร่วม แม้น่าเชื่อว่าหากโจทก์ร่วมชำระหนี้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วน จำเลยที่ 1 คงจะคืนรถกระบะให้ แต่ก็เห็นได้ว่าถ้าโจทก์ร่วมไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 คงไม่คืนรถกระบะให้ การที่จำเลยที่ 1 เอารถกระบะไปดังกล่าวจึงเป็นการตัดกรรมสิทธิ์ในรถกระบะของผู้ให้เช่าซื้อขณะอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วมตลอดไปแล้ว และเมื่อเป็นการใช้อำนาจบังคับเพื่อให้ตนได้รับชำระหนี้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมต้องถือว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ และไม่ว่าโจทก์ร่วมจะผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ก็ตาม เมื่อโจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองรถกระบะคันดังกล่าวในขณะที่กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเอารถกระบะของผู้ให้เช่าซื้อไปโดยทุจริต โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายและเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334, 335 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถกระบะที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 513,590 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายเวช ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 3 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนรถกระบะที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 513,590 บาท แก่โจทก์ร่วม ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2553 โจทก์ร่วมกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 จำนวน 120,000 บาท โดยโจทก์ร่วมมอบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ถล 2059 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์ร่วมเช่าซื้อจากบริษัทชยภาค จำกัด ให้จำเลยที่ 1 ไว้เป็นหลักประกัน หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน โจทก์ร่วมไปขอรับรถกระบะคันดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 เพื่อใช้เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยจะนำรถไปส่งมอบคืนภายใน 10 วัน นับแต่วันรับรถ จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ร่วมนำทรัพย์อื่นมาเป็นหลักประกันแทนรถกระบะ โจทก์ร่วมให้นางฐิติรัตน์ นำโฉนดที่ดินของนางฐิติรัตน์ไปมอบให้โจทก์ร่วมเป็นหลักประกันแทน จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ร่วมนำรถกระบะคืนไปและยึดถือโฉนดที่ดินไว้ แต่เมื่อครบกำหนด 10 วัน โจทก์ร่วมไม่นำรถกระบะไปส่งมอบคืนให้จำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน 2553 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา นางฐิติรัตน์พาจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปบ้านโจทก์ร่วมที่จังหวัดศรีสะเกษ ขอให้โจทก์ร่วมส่งมอบรถกระบะคืนจำเลยที่ 1 แต่ในขณะที่ยังตกลงกันไม่ได้ จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะคันดังกล่าวออกจากบ้านโจทก์ร่วมนำไปเก็บรักษาไว้ที่บ้านของจำเลยที่ 1 ที่กรุงเทพมหานคร และมอบโฉนดที่ดินคืนนางฐิติรัตน์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ร่วมเบิกความเองว่า รู้จักจำเลยที่ 1 ขณะที่ไปเล่นพนันในบ่อนไฮโลว์ โจทก์ร่วมเสียพนัน จึงขอยืมเงินจากจำเลยที่ 1 จำนวน 120,000 บาท โดยมอบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ถล 2059 กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์ร่วมเช่าซื้อจากบริษัทชยภาค จำกัด เป็นหลักประกัน เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเล่นพนัน อันเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเอารถกระบะของบริษัทชยภาค จำกัด ขณะที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วมไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334, 335 ดังนี้ ไม่ว่าการที่โจทก์ร่วมมอบรถกระบะคันดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 เพื่อเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินนำมาใช้จ่ายในเล่นการพนัน เป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ร่วมทำกับบริษัทชยภาค จำกัด หรือไม่ก็ตาม เมื่อโจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองรถกระบะคันดังกล่าวในขณะที่กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเอาไปโดยทุจริต โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายและเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 6,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี กำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติโดยให้จำเลยที่ 1 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือน ต่อครั้ง ตลอดระยะเวลารอการลงโทษ กับให้จำเลยที่ 1 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 1 เห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share