คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 829/2532

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

ขณะผู้เสียหายนอนกับลูกในห้องนอนยังไม่ทันหลับ จำเลยเข้ามานั่งยองๆ ที่ปลายเท้า ผู้เสียหายถามถึงจุดประสงค์ที่เข้ามา จำเลยก็ห้ามส่งเสียงดังมิฉะนั้นจะเชือดคอ แล้วจำเลยใช้มือซ้ายจับมือขวาผู้เสียหาย ใช้มือขวาซึ่งถือมีดกดหัวเข่าผู้เสียหายไว้ผู้เสียหายดิ้น ศอกผู้เสียหายไปถูกลูกคนเล็กร้องขึ้น พอผู้เสียหายพูดขึ้นว่าสามีผู้เสียหายมาจำเลยก็หนีไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 และฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278,365 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 365 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักตาม มาตรา 278, 90 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์มีประจักษ์พยาน 1 ปาก คือ นางข้อลีย๊ะ กะสิรักษ์ ผู้เสียหาย ยืนยันว่าจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยโดยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องทะลุช่องโหว่หลังคาและฝาบ้านเข้าไปในห้องนอนและเห็นจำเลยเข้าประตูบ้านไปนั่งยองๆอยู่ปลายเท้า ขณะผู้เสียหายกำลังนอนยังไม่ทันหลับหันปลายเท้าไปทางประตู พอผู้เสียหายถามถึงจุดประสงค์ที่เข้ามา จำเลยก็ห้ามส่งเสียงมิฉะนั้นจะเชือดคอ แล้วใช้มือซ้ายจับมือขวาผู้เสียหาย เอามือขวาซึ่งถือมีดกดหัวเข่าผู้เสียหายไว้ ผู้เสียหายดิ้น ศอกผู้เสียหายถูกลูกคนเล็กร้องขึ้น พอผู้เสียหายพูดว่าสามีมาจำเลยก็หนี หลังจากนั้นประมาณ 15นาที นายส้าหมาด กะสิรักษ์ สามีกลับมาบ้าน ผู้เสียหายก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง รุ่งขึ้นผู้เสียหายได้แจ้งความแก่นายอุหมาก บุตรหล้า ผู้ใหญ่บ้าน และร้อยตำรวจโทโสภณ สุขแก้วพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภออ่าวลึก ตามลำดับโดยระบุจำเลยเป็นคนร้ายทุกครั้ง โจทก์มีนายส้าหมาด กะสิรักษ์ เป็นพยานแวดล้อมใกล้ชิด เบิกความสนับสนุนว่าก่อนเกิดเหตุเล็กน้อยพยานพบและช่วยจำเลยถอยเรือขณะพยานจะออกเรือจากหาดใกล้บ้านไปกู้อวนในทะเล ขากลับก็พบจำเลยแจวเรือไปจากที่เดิมพอขึ้นบ้าน ผู้เสียหายก็เล่าเรื่องที่ถูกจำเลยบุกรุกกระทำอนาจารเป็นคดีนี้ แสดงว่าจำเลยอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุขณะเหตุเกิดนายส้าหมาดยืนยันด้วยว่า คืนเกิดเหตุมีพระจันทร์ส่องสว่างเต็มที่ ส่วนบ้านเกิดเหตุนั้น หลังคาและฝาพนังเป็นรูถ้าฝนตกก็เปียกหมด ซึ่งตรงกับคำเบิกความของร้อยตำรวจโทโสภณ สุขแก้ว ที่ยืนยันว่าบ้านเกิดเหตุมุงหลังคาด้วยจากผุมีรู ประกอบกับวันเกิดเหตุคือวันที่ 7 กรกฎาคม2530 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินหลวง พระจันทร์ขึ้นอยู่บนท้องฟ้าขณะเกิดเหตุและส่องแสงทะลุช่องโหว่หลังคาลงไปในห้องนอนให้ผู้เสียหายเห็นคนร้ายถนัดได้ ข้ออ้างของผู้เสียหายจึงสมเหตุสมผลน่าเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ยังได้ความจากผู้เสียหายและตัวจำเลยเองด้วยว่าต่างรู้จักคุ้นเคยกันมานาน จำเลยเองก็รับอยู่ว่ากลางวันวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายยังไปช่วยจำเลยแกะเนื้อปูที่บ้านจำเลย ดังนั้นผู้เสียหายจึงน่าจะจำจำเลยได้ไม่ผิดตัว และน่าจะไม่มีสาเหตุที่จะปรักปรำจำเลยด้วย นายอุหมากและร้อยตำรวจโทโสภณพยานโจทก์ผู้รับแจ้งความก็ยืนยันว่าผู้เสียหายระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายตลอดมา แสดงความมั่นใจในความจำของผู้เสียหายเป็นอย่างยิ่ง พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักและเหตุผลมั่นคงพอฟังได้ว่าจำเลยคือคนร้ายรายนี้ ฐานที่อยู่ของจำเลยที่นำสืบต่อสู้ไว้ไม่ไกลเกินกว่าที่จำเลยจะมากระทำความผิดคดีนี้ไม่ได้ จึงมีน้ำหนักน้อยไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษากลับว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเว้นแต่ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน

Share