คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1690/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยขอใช้บริการสินเชื่อบัตรทองโดยจำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ก็เพื่อนำบัตรทองดังกล่าวไปชำระค่าสินค้าและบริการอื่น ๆ แทนเงินสดเป็นสำคัญโดยให้โจทก์ออกเงินชำระแทนไปก่อน บัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่จำเลยขอเปิดไว้กับโจทก์ก็เปิดไว้เพียงเพื่อให้โจทก์หักเงินไปชำระหนี้ หาใช่หักทอนหนี้สินระหว่างกันอย่างบัญชีเดินสะพัดไม่ เพราะจำเลยมีแต่เป็นลูกหนี้โจทก์ฝ่ายเดียวไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ด้วย รวมทั้งไม่มีหน้าที่ต้องนำเงินฝากเข้าบัญชีก่อนซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ และมิได้มีข้อสัญญาให้จำเลยถอนเงินเกินบัญชีด้วยเช็ค แม้ด้านหลังคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันจะมีข้อตกลงให้จำเลยถอนเงินด้วยเช็คและกรณีเงินฝากที่เหลือในบัญชีไม่พอจ่ายตามเช็ค หากโจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนจำเลยยอมผูกพันจ่ายเงินส่วนที่เบิกเกินนั้นคืนให้โจทก์โดยถือเสมือนหนึ่งจำเลยได้ร้องขอเบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์ และยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี หรืออัตราสูงสุดตามกฎหมายให้แก่โจทก์และยอมให้นำดอกเบี้ยนี้หักจากบัญชีเมื่อถึงวันสิ้นเดือน… ก็เป็นเพียงรูปแบบของสัญญาสำเร็จรูปของโจทก์ แต่ตามความเข้าใจของโจทก์และจำเลยการใช้บัตรทองมิได้กำหนดให้จำเลยสามารถถอนเงินเกินบัญชีด้วยเช็คแต่อย่างใด หนี้ที่จำเลยค้างชำระตามบัญชีดังกล่าวจึงไม่เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 856 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 229,854.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปีของต้นเงิน 104,875 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2532 จำเลยขอใช้บริการสินเชื่อบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสที่ออกโดยบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส (ไทย) จำกัด กับโจทก์ และเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันบัญชีเลขที่ 1173074103 กับโจทก์ตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน โจทก์ให้วงเงินสินเชื่อแก่จำเลยเพื่อการชำระค่าสินค้าและบริการอันเกิดจากการที่จำเลยนำบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสไปใช้แทนเงินสด และให้บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส (ไทย) จำกัด และบุคคลอื่น ส่งใบแจ้งยอดหนี้มาเรียกเก็บเงิน มีปัญหาข้อแรกต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า หนี้ที่จำเลยค้างชำระตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่เปิดไว้แก่โจทก์เป็นหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดที่โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยขอใช้บริการสินเชื่อบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสโดยจำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ก็เพื่อนำบัตรทองดังกล่าวไปชำระค่าสินค้าและบริการอื่น ๆ แทนเงินสดเป็นสำคัญโดยให้โจทก์ออกเงินชำระแทนไปก่อน บัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่จำเลยขอเปิดไว้กับโจทก์ก็เปิดไว้เพียงเพื่อให้โจทก์หักเงินไปชำระหนี้ หาใช่หักทอนหนี้สินระหว่างกันอย่างบัญชีเดินสะพัดไม่ เพราะจำเลยมีแต่เป็นลูกหนี้โจทก์ฝ่ายเดียว ไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ด้วย รวมทั้งไม่มีหน้าที่ต้องนำเงินฝากเข้าบัญชีก่อนซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ และมิได้มีข้อสัญญาให้จำเลยถอนเงินเกินบัญชีด้วยเช็ค แม้ด้านหลังคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน จะมีข้อตกลงให้จำเลยถอนเงินด้วยเช็คและกรณีเงินฝากที่เหลือในบัญชีมีไม่พอจ่ายตามเช็ค หากโจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนจำเลยยอมผูกพันจ่ายเงินส่วนที่เบิกเกินนั้นคืนให้โจทก์โดยถือเสมือนหนึ่งจำเลยได้ร้องขอเบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์ และยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี หรืออัตราสูงสุดตามกฎหมายให้แก่โจทก์และยอมให้นำดอกเบี้ยนี้หักจากบัญชีเมื่อถึงวันสิ้นเดือน… ก็เป็นเพียงรูปแบบของสัญญาสำเร็จรูปของโจทก์ แต่ตามความเข้าใจของโจทก์และจำเลยการใช้บัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสมิได้กำหนดให้จำเลยสามารถถอนเงินเกินบัญชีด้วยเช็คแต่อย่างใด หนี้ที่จำเลยค้างชำระตามบัญชีดังกล่าว จึงไม่เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่ตามคำฟ้องและเอกสารหลักฐานที่โจทก์อ้างส่งแทนการสืบพยานบุคคลปรากฏว่า ตามสำเนาใบสมัครบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรส ระบุวันที่เปิดวงเงินสินเชื่อ วันที่ 12 เมษายน 2532 โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมาถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2540 ยอดหนี้ตามรายการบัญชีกระแสรายวันที่ระบุว่า เมื่อคิดถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 226,838.04 บาท โดยเป็นต้นเงิน 104,875 บาท ดอกเบี้ย 121,963.04 บาท จึงไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยเป็นหนี้ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่โจทก์ฎีกาว่า แม้โจทก์ไม่สามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้ แต่ต้นเงินที่จำเลยใช้จ่ายบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสก็ไม่เสียไปคงเป็นโมฆะเฉพาะดอกเบี้ย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบนั้น โดยโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า หลังจากจำเลยสมัครเป็นสมาชิกและรับบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสไปแล้ว จำเลยนำบัตรทองดังกล่าวไปชำระค่าสินค้าและบริการอื่น ๆ แทนเงินสดหลายคราว โจทก์ได้หักเงินจากบัญชีของจำเลยและจ่ายให้แก่บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส (ไทย) จำกัด ตามข้อตกลงหลายคราวเช่นกัน แต่ปรากฏตามรายการบัญชีกระแสรายวัน เมื่อเริ่มแรกจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 100,000 บาท โดยไม่อาจทราบได้ว่าเป็นหนี้ค่าอะไร ทั้งที่วงเงินสินเชื่อตามสำเนาใบสมัครบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง จำเลยมีวงเงินสินเชื่อเพียง 50,000 บาท แต่สำเนาใบสมัครบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสกลับระบุว่าจำเลยมีวงเงินสินเชื่อ 100,000 บาท ทั้งที่เป็นสำเนาใบสมัครจากต้นฉบับเดียวกันเอกสารที่โจทก์อ้างส่งแทนการสืบพยานบุคคลจึงมีข้อพิรุธ ชอบที่โจทก์จะนำหลักฐานการใช้จ่ายบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสของจำเลยหรือหลักฐานอื่นมาแสดงให้เห็นว่าข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายจริง นอกจากนี้เมื่อตรวจดูรายการบัญชีกระแสรายวัน คงมีแต่รายการที่จำเลยฝากเงินสดเพื่อชำระหนี้ กับรายการดอกเบี้ย ไม่ปรากฏรายการที่จำเลยใช้บัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสชำระค่าสินค้าและบริการอื่น ๆ แทนเงินสดดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องแต่ประการใด โจทก์ยืนยันในคำฟ้องว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2540 แสดงว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นมาตั้งแต่จำเลยเป็นหนี้โจทก์จนถึงวันดังกล่าว โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่ายอดหนี้จำนวน 100,000 บาท ตามรายการบัญชีกระแสรายวัน แผ่นที่ 1 ไม่ใช่ยอดหนี้ที่เกิดจากการคิดดอกเบี้ยทบต้นแล้วโอนมาเป็นยอดหนี้ตามบัญชีของจำเลยดังกล่าว พยานหลักฐานที่โจทก์อ้างส่งแทนการสืบพยานบุคคลจึงไม่อาจทราบได้แน่นอนว่าจำเลยเป็นหนี้ต้นเงินจากการนำบัตรทองอเมริกันเอ็กซ์เพรสไปซื้อสินค้าและบริการอื่น ๆ แทนเงินสดเป็นจำนวนเท่าใดที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share