คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8289/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางว่า ศาลแรงงานกลางได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์ทั้งสามและจำเลยประกอบเอกสารแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31 การที่ศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดกำหนดประเด็นและสืบพยานโจทก์ เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติและพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกัน ถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้ใช้ดุลพินิจวิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงคดีนี้ จึงไม่มีกรณีที่ศาลแรงงานกลางสั่งให้มีการสืบพยานที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ข้อ 10 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่า “ในกรณีที่ศาลแรงงานสั่งให้มีการสืบพยาน ศาลจะสอบถามคู่ความแต่ละฝ่ายว่าประสงค์จะอ้างและสืบพยานใดบ้าง…” ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 376,062 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 210,645 บาท และโจทก์ที่ 3 จำนวน 356,040 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์แต่ละคน
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ (ศาลแรงงานกลางใช้ว่าวันนัดกำหนดประเด็นและสืบพยานโจทก์) จำเลยเพียงแต่ส่งเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.7 ต่อศาลเท่านั้น ศาลแรงงานกลางไม่ได้สอบถามโจทก์ทั้งสามและจำเลยแต่ละฝ่ายว่าจะอ้างและสืบพยานใดบ้าง ศาลแรงงานกลางไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ข้อ 10 วรรคหนึ่ง เป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า ในวันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2547 ว่าศาลแรงงานกลางได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์ทั้งสามและจำเลยประกอบเอกสารแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 การที่ศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดกำหนดประเด็นและสืบพยานโจทก์เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติและพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกัน ถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้ใช้ดุลพินิจวิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงคดีนี้ จึงไม่มีกรณีที่ศาลแรงงานกลางสั่งให้มีการสืบพยานที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ข้อ 10 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่า “ในกรณีที่ศาลแรงงานสั่งให้มีการสืบพยาน ศาลจะสอบถามคู่ความแต่ละฝ่ายว่าประสงค์จะอ้างและสืบพยานใดบ้าง…” ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share