คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8281/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์มีสิทธิบังคับจำเลยอยู่สามประการ ประการแรกคือบังคับให้โอนสิทธิในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ต้องชำระเงินตอบแทน 35,000 บาท แก่จำเลย ประการที่สองคือบังคับให้ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 35,000 บาท ในกรณีที่จำเลยไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินพิพาทได้ และประการที่สามคือให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ออกจากที่ดินพิพาท สำหรับสิทธิของโจทก์ในประการแรกและประการที่สองนั้น การบังคับคดีต้องเป็นไปตามลำดับเพราะมิใช่กรณีที่อาจเลือกการชำระหนี้ได้ เมื่อที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินแล้วโดยมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์สามารถใช้สิทธิบังคับในประการแรกคือให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้ โจทก์ย่อมไม่อาจใช้สิทธิบังคับในประการที่สองคือให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเงิน 35,000 บาท การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ เพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยมาชำระค่าเสียหายจึงเป็นการไม่ชอบ
จำเลยต้องมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระเงิน 35,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์เห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันในลักษณะของสัญญาต่างตอบแทน กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ เมื่อโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยปฏิบัติชำระหนี้ โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ชอบจะขอปฏิบัติการชำระหนี้ในส่วนของตนเสียก่อน แล้วจึงขอให้ศาลบังคับคดีแก่จำเลยได้ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขอปฏิบัติการชำระหนี้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเลยเช่นนี้ จึงต้องถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้ในส่วนของตนและอาจใช้สิทธิขอให้บังคับคดีแก่อีกฝ่ายหนึ่งตามสัญญาต่อไป ยังไม่อาจถือว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัดหรือผิดสัญญา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกลงกันว่า “…โจทก์ทั้งสองยินยอมจ่ายเงินจำนวน 35,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในวันทำสัญญาโอนสิทธิในที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไปร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญายอมเพื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอนช่วยกันออกฝ่ายละครึ่ง หากจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินพิพาทได้ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงินจำนวน 35,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รื้อถอนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ออกจากที่ดินพิพาทภายใน 7 วัน นับแต่วันทำสัญญายอมโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือรบกวนสิทธิของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป หากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ดำเนินการโอนสิทธิในที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองยินยอมให้โจทก์ทั้งสองบังคับคดีได้ทันทีและยินยอมให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนสิ่งกีดขวางได้ด้วยตนเอง…” ต่อมาหลังจากพ้นกำหนด 6เดือน ตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ทั้งสองได้ ยื่นคำร้องลงวันที่ 3 พฤษภาคม2542 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามขอ หลังจากนั้นวันที่ 16 กันยายน 2542โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินพิพาทซึ่งเดิมเป็นที่ดินมีส.ค.1 ไปขอออกโฉนดที่ดิน ได้โฉนดที่ดินเลขที่ 14520 ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยที่ 2และที่ 3 ไม่ดำเนินการโอนสิทธิในที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองมีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 35,000 บาทแก่โจทก์ทั้งสองเท่านั้น ไม่มีข้อความใดให้โจทก์ทั้งสองบังคับให้จำเลยที่ 2และที่ 3 โอนสิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย 35,000 บาทแก่โจทก์ทั้งสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองเลือกที่จะบังคับคดีโดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนสิทธิในที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองอีก

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิบังคับคดีให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองนั้น เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 โจทก์ทั้งสองมีสิทธิบังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 อยู่สามประการ ประการแรกคือบังคับให้โอนสิทธิในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ทั้งสองต้องชำระเงินตอบแทน 35,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ประการที่สองคือบังคับให้ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 35,000 บาท ในกรณีที่จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินพิพาทได้ และประการที่สามคือให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 รื้อถอนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ออกจากที่ดินพิพาท สำหรับ สิทธิของโจทก์ทั้งสองในประการแรกและประการที่สองนั้น การบังคับคดีต้องเป็นไปตามลำดับเพราะมิใช่กรณีที่อาจเลือกการชำระหนี้ได้ เมื่อที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินแล้วเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 14520 มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองสามารถใช้สิทธิบังคับในประการแรก คือให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองได้ โจทก์ทั้งสองย่อมไม่อาจใช้สิทธิบังคับในประการที่สอง คือให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 35,000 บาท การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ทั้งสองเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาชำระค่าเสียหายจึงเป็นการไม่ชอบ ส่วนการใช้สิทธิของโจทก์ทั้งสอง ในการบังคับคดีประการแรกนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง โดยโจทก์ทั้งสองต้องชำระเงิน 35,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2และที่ 3 ในวันทำสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ เห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันในลักษณะของสัญญาต่างตอบแทนกล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ เมื่อโจทก์ทั้งสองประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ปฏิบัติการชำระหนี้โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองก็ชอบที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้ในส่วนของตนเสียก่อน แล้วจึงขอให้ศาลบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขอปฏิบัติการชำระหนี้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเลยเช่นนี้ จึงต้องถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้ในส่วนของตนและอาจใช้สิทธิขอให้บังคับคดีแก่อีกฝ่ายหนึ่งตามสัญญาต่อไป ยังไม่อาจถือว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัดหรือผิดสัญญา ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ว่าโจทก์ทั้งสองผิดนัดจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share