คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญานายหน้าระบุให้นายหน้าจัดการขายที่ดินให้เสร็จภายในพ.ศ.2518 เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยเจ้าของที่ดินจะผ่อนเวลาต่อไปให้อีกตามที่เห็นสมควรนั้น แสดงให้เห็นถึงเจตนาของคู่สัญญาว่า ได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าจะต้องขายที่ดินให้เสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ.2518 หากไม่มีการผ่อนเวลา ย่อมถือได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าบำเหน็จตามสัญญานายหน้าแก่โจทก์ 168,500 บาท กับดอกเบี้ย จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกัน ฟังได้ว่าโจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยให้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ซึ่งจะเปิดสาขาบริเวณซอยสุขุมวิท 19 – 23 ได้ทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษร 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2518 ตามเอกสารหมาย จ.1ฉบับหลังลงวันที่ 23 กันยายน 2518 ตามเอกสารหมาย จ.2 ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ขออนุญาตเปิดสาขาต่อกระทรวงการคลัง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2518 ไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาขอใหม่เมื่อวันที่ 13กุมภาพันธ์ 2519 จึงได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2519 หลังจากนั้นทางธนาคารให้คนไปติดต่อขอซื้อที่ดินจำเลย ผลที่สุดได้ทำสัญญาซื้อขายกันเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2520 คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าสัญญานายหน้าฉบับที่สองซึ่งกำหนดระยะเวลาไว้ยังมีผลอยู่หรือไม่ และที่จำเลยขายที่ดินสำเร็จเนื่องจากผลแห่งการที่โจทก์ได้ชี้ช่องหรือไม่ พิจารณาจากสัญญานายหน้าเอกสารหมาย จ.2 มีความในตอนท้ายว่า “ในการมอบให้นางสาวปวีณา กุลปรียะวัฒน์ (โจทก์) เป็นนายหน้าจัดการขายตามหนังสือฉบับนี้มีกำหนดภายใน พ.ศ. 2518 หากได้มีการติดต่อตกลงกับผู้ซื้อแล้วแต่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะเหตุสุดวิสัย ข้าพเจ้า นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ (จำเลย)จะผ่อนเวลาต่อไปอีก ตามที่ข้าพเจ้าจะเห็นสมควร” เห็นได้ว่า เจตนาของคู่สัญญาได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนว่าจะต้องขายที่ดินให้เสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. 2518 เว้นแต่กรณีมีเหตุสุดวิสัย จำเลยจึงจะผ่อนเวลาให้ตามที่เห็นสมควร ปัญหาที่ว่าโจทก์ไปติดต่อขายที่ดินของจำเลยให้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด แล้วหรือไม่นั้น เห็นว่าตามคำของนายอุทิศ สุนทรานนท์ ผู้จัดการฝ่ายสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ผู้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการจัดหาที่ดินซึ่งเป็นพยานโจทก์ว่าประมาณกลางปี พ.ศ. 2518 โจทก์เป็นผู้ไปเสนอขายที่ดินของจำเลยราคาตารางวาละ 30,000 บาท นายอุทิศเป็นเพียงรับทราบเพราะกระทรวงการคลังยังไม่อนุญาตให้เปิดสาขา ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ หลังจากนั้นโจทก์ไม่ไปติดต่ออีกเลย ถือไม่ได้ว่ามีการตกลงกับผู้ซื้อแล้วตามสัญญาที่ตกลงไว้ ข้ออ้างของโจทก์ว่าพนักงานธนาคารให้เป็นผู้ไปติดต่อซื้อที่ดินจากจำเลยจึงเป็นการเลื่อนลอย ข้อนำสืบของจำเลยว่าโจทก์ขายที่ดินของจำเลยไม่ได้ตามสัญญา จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาในต้นปี พ.ศ. 2519 มีเหตุผลให้รับฟังเพราะโจทก์เบิกความรับว่า โจทก์ติดต่อกับพนักงานธนาคารครั้งสุดท้ายเมื่อต้นปี พ.ศ. 2519 พนักงานว่ายังไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังสัญญานายหน้าตามเอกสารหมาย จ.2 มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนว่าภายในสิ้นปี พ.ศ. 2518 ไม่มีการผ่อนเวลากัน ถือว่าสัญญาสิ้นสุด ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้อต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าบำเหน็จแก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสามศาลให้เป็นพับ”

Share