แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 3 ยอมให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ชื่อบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด ตลอดจนเครื่องหมายของบริษัทและหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทดังกล่าวติดที่ข้างรถ จำเลยที่ 2 เท่ากับเป็นการยอมให้รถจำเลยที่ 2 เดินรับส่งคนโดยสารในนามของบริษัทฯ และถือได้ว่าเป็นการยอมรับต่อบุคคลภายนอกว่า รถของจำเลยที่ 2 เป็นรถของบริษัทนั้นเอง เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้บริษัทนครหลวงรถเมล์เล็กจำกัดดังกล่าวยังมิได้จดทะเบียนไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลก็ตาม จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการบริษัทก็ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามบทบัญญัติในมาตรา 1113 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ก. 5833 โดยประมาทปาดหน้ารถยนต์ของโจทก์ เป็นเหตุให้ชนรถโจทก์เสียหาย เป็นค่าซ่อมรถ 7,000 บาท และขาดรายได้ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,000 บาท จำเลยที่ 1 ขับรถในฐานะลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อและครอบครองรถดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่มกันจำเลยที่ 1 ส่วนบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัดรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเชิดตัวเองเป็นตัวแทนของบริษัท และยอมให้ใช้ชื่อตลอดจนเครื่องหมายของบริษัทหมายเลขโทรศัพท์ที่ข้างรถที่จำเลยที่ 1 ขับ บริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด จึงต้องรับผิดต่อโจทก์เสมือนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นตัวแทนของตน แต่โดยที่บริษัทยังไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยสมบูรณ์ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้เริ่มก่อการของบริษัทดังกล่าว จึงต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวแทนบริษัท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหาย 12,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า รถโจทก์ชนรถจำเลยที่ 2 เพราะความประมาทของคนขับรถโจทก์ และฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในการซ่อมรถเป็นเงิน 3,500บาท ขาดรายได้ 5 วัน วันละ 100 บาท รวมค่าเสียหาย 5,000 บาท
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้เริ่มตั้งบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็กจริง แต่ไม่สามารถจดทะเบียนได้เพราะกระทรวงคมนาคมไม่อนุญาต บริษัทนครหลวงรถเมล์เล็กจึงไม่เป็นนิติบุคคล และจำเลยที่ 3 ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ลบชื่อของบริษัทออกจากตัวรถของจำเลยที่ 2 แล้ว ได้แจ้งก่อนเกิดเหตุ กรณีจะเป็นประการใดก็ตาม จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องเพราะไม่ได้เป็นผู้ทำละเมิดหรือใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปทำละเมิด ค่าซ่อมรถโจทก์อย่างมากไม่เกิน 4,000 บาท ส่วนค่าขาดรายได้ถ้าจากจะมีก็ไม่เกินวันละ 100 บาท
โจทก์แก้ฟ้องของจำเลยที่ 2 ว่า ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 เสียไปในการซ่อมรถ 3,500 บาท และขาดรายได้ไป 5 วัน วันละ 300 บาท นั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุม และเรียกค่าเสียหายเกินจากที่ได้รับจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และได้ขับรถในทางการที่จ้างไปกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ส่วนบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด นั้น ยังจดทะเบียนไม่ได้จึงไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล จะทำกิจการใด ๆ หรือเชิดผู้ใดเป็นตัวแทนไม่ได้จำเลยที่ 3 เป็นเพียงผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทดังกล่าว แม้จะฟังว่าบริษัทยอมให้จำเลยที่ 2 ใช้ชื่อบริษัทติดข้างรถของจำเลยที่ 2 ก็ตาม หาเป็นผลให้จำเลยที่ 3ต้องรับผิดไม่ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ริเริ่มก่อการตั้งบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด จึงต้องรับผิดร่วมกันกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพราะผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกันและโดยไม่จำกัดในบรรดาหนี้และการจ่ายเงินซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้จะได้อนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้น จนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามาตรา 1113 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบริษัทจำกัด เป็นบทบัญญัติให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดในบรรดาเงินที่ได้รับจากผู้เข้าซื้อหุ้นในการจัดตั้งบริษัทนั้น มิได้บัญญัติให้รับผิดในกิจการอื่นนอกเหนือจากการจัดตั้งบริษัทจำกัดต่อบุคคลภายนอก จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการที่จำเลยที่ 1 กระทำการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด มีวัตถุประสงค์ขนส่งผู้โดยสารในระหว่างที่การจดทะเบียนบริษัทดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยที่ 3 ยอมให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ชื่อบริษัทดังกล่าวตลอดจนเครื่องหมายของบริษัทและหมายเลขโทรศัพท์ติดที่ข้างรถจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคม 2519 จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อชนรถโจทก์ รถโจทก์ได้รับความเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 10,200 บาท คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ยอมให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ชื่อบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด ตลอดจนเครื่องหมายของบริษัทและหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทดังกล่าวติดที่ข้างรถจำเลยที่ 2 เป็นการยอมให้รถจำเลยที่ 2 เดิมรับส่งคนโดยสารในนามของบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด ถือได้ว่าเป็นการยอมรับต่อบุคคลภายนอกว่า รถจำเลยที่ 2 เป็นรถของบริษัทนครหลวงรถเมล์เล็ก จำกัด บริษัทดังกล่าวจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อบริษัทดังกล่าวยังมิได้จดทะเบียน ยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ผู้เริ่มก่อการบริษัทก็ต้องร่วมรับผิดตามความในมาตรา 1113 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่รถยนต์ซึ่งเดินในนามของบริษัทไปทำให้บุคคลอื่นเสียหาย และบริษัทจะต้องรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้นั้นนับว่าเป็นหนี้อย่างหนึ่งตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1113 แม้ที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติหนี้ดังกล่าว ผู้เริ่มก่อการก็ต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัด และแม้จะได้อนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้นจนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท เมื่อได้มีการจดทะเบียนบริษัท ทำให้บริษัทมีสภาพเป็นนิติบุคคลขึ้น ความรับผิดของผู้เริ่มก่อการในฐานะส่วนตัวสำหรับหนี้ที่ได้อนุมัตินั้นจึงจะหมดไป ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1741/2505 คดีระหว่างนายยิ้ว แซ่ฉิน โจทก์ นายเมือง บุญชะโดกับพวก จำเลย
พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย 10,200 บาทแก่โจทก์