คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8253/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาเช่าช่วงพื้นที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าช่วงแต่บริษัท อ. ผู้เป็นเจ้าของและเป็นผู้ให้เช่าเดิมก็ยังคงมีสิทธิเรียกค่าเช่าจากจำเลยผู้เช่าช่างได้โดยตรง ทั้งบริษัท อ. ได้แจ้งให้จำเลยทำสัญญาเช่ากับตน โดยอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าต่อผู้เช่าเดิมแล้ว หากไม่ปฏิบัติตามจะฟ้องขับไล่จนทำให้จำเลยต้องทำสัญญาเช่ากับบริษัท อ.ตามพฤติการณ์ดังกล่าว จำเลยย่อมไม่อาจทราบได้ว่าฝ่ายใดมีสิทธิดีกว่ากัน การที่จำเลยนำเงินค่าเช่าซึ่งได้รับการทวงถามจากโจทก์และบริษัท อ. ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิหรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอนโดยมิใช่เป็นความผิดของจำเลย เมื่อจำเลยไม่ทราบว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน จึงจำเป็นที่จำเลยจะต้องกำหนด เงื่อนไขไว้ว่า ให้ผู้มีสิทธิที่แท้จริงในการให้เช่าพื้นที่พิพาทเป็นผู้รับเงินค่าเช่าที่วางไว้ ไม่เป็นการกำหนดเงื่อนไขอันเป็นการทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินได้การวางเงินของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 331 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่ 2.84 ตารางเมตรชั้นที่ 3 ด้านทิศใต้ในอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ ของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด จากโจทก์ซึ่งได้เช่าช่วงมาโดยชอบและเป็นผู้มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวมีกำหนด 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2534 ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 17,000 บาท จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนเมษายน2534 สัญญาเช่าเลิกกันแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบสถานที่เช่าคืนโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์ โดยโจทก์อาจนำสถานที่เช่าออกให้บุคคลภายนอกเช่า ซึ่งจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ25,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากสถานที่เช่า ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้ออีกต่อไปให้จำเลยชำระเงินค่าเช่าที่ค้างชำระและดอกเบี้ยถึงวันที่สัญญาเช่าเลิกกันรวมทั้งค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 153,432 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 152,240 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับค่าเสียหายอีกเดือนละ25,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบสถานที่เช่าคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่ในอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัดจากโจทก์จริง และชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ตลอดมา แต่เนื่องจากในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 บริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัดมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทกับตน โดยอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าต่อบุคคลที่โจทก์เช่าช่วงพื้นที่พิพาทมาแล้วจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าใครเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าที่แท้จริงระหว่างโจทก์กับบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด ทั้งนี้เพราะต่างฝ่ายต่างก็เรียกให้จำเลยชำระค่าเช่า เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่จำเลย จำเลยจึงนำค่าเช่าแต่ละเดือนเริ่มตั้งแต่เมษายน 2534 เป็นต้นมาไปวางไว้ที่กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม โดยระหว่างโจทก์กับบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโลจำกัด ฝ่ายใดมีสิทธิรับเงินค่าเช่าก็สามารถรับไปได้ จำเลยจึงมิได้ผิดสัญญาเช่าและมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติฟังได้ตามที่คู่ความรับและไม่โต้เถียงกัน อีกทั้งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาต่อมาว่าโจทก์เช่าช่วงพื้นที่ชั้น 3 อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด เนื้อที่ 2.84 ตารางเมตรจากนางสาวสุวภี สีบุญเรือง ผู้เช่าเดิมแล้วให้จำเลยเช่าช่วงอีกทอดหนึ่งมีกำหนด 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2534ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 17,040 บาท ตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2534บริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทำสัญญาเช่ากับตนโดยอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าต่อผู้เช่าเดิมแล้ว หากไม่ปฏิบัติตามจะฟ้องขับไล่ตามหนังสือแจ้งให้ทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2จำเลยทำสัญญาเช่ากับบริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเดือนมีนาคม 2535 ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 ทั้งโจทก์และบริษัทเอ็ม บี เคพร้อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ต่างก็เรียกให้จำเลยชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนเมษายน 2534 เป็นต้นมา จำเลยไม่ทราบว่าจะชำระให้แก่ฝ่ายใด จึงนำค่าเช่าประจำเดือนเมษายน 2534 ถึงเดือนธันวาคม 2535 ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม โดยกำหนดเงื่อนไขให้โจทก์หรือบริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นผู้มีสิทธิที่แท้จริงในการให้เช่าพื้นที่พิพาทเป็นผู้รับไป แต่ไม่มีฝ่ายใดสามารถรับไปได้เพราะติดขัดในเงื่อนไขที่จำเลยกำหนดไว้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ว่า การวางเงินของจำเลยดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยผู้ชำระหนี้ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิหรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอนโดยมิใช่เป็นความผิดของตน เพื่อประโยชน์แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้และทำให้จำเลยหลุดพ้นหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331 หรือไม่ศาลฎีกา เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331บัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ก็ดี หรือไม่สามารถจะรับชำระหนี้ได้ก็ดี หากบุคคลผู้ชำระหนี้วางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ได้ ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่บุคคลผู้ชำระหนี้ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิ หรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอนโดยมิใช่เป็นความผิดของตน” ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าเดิมจำเลยทำสัญญาเช่าช่วงพื้นที่พิพาทจากโจทก์ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 อันทำให้จำเลยในฐานะผู้เช่าช่วงมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าช่วง แต่บริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าวและเป็นผู้ให้เช่าเดิมก็ยังคงมีสิทธิเรียกค่าเช่าพื้นที่พิพาทจากจำเลยผู้เช่าช่วงได้โดยตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 545 อีกทั้งบริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทำสัญญาเช่ากับตนโดยอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าต่อผู้เช่าเดิมแล้ว หากไม่ปฏิบัติตามจะฟ้องขับไล่จนทำให้จำเลยต้องทำสัญญาเช่ากับบริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเดือนมีนาคม 2535 ตามพฤติการณ์ดังกล่าว บุคคลผู้เป็นพ่อค้าเช่นจำเลยย่อมไม่อาจทราบได้ว่าฝ่ายใดมีสิทธิในเงินค่าเช่าดีกว่ากัน การที่จำเลยนำเงินค่าเช่าที่พิพาทซึ่งได้รับการทวงถามให้ชำระจากโจทก์และบริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรมกรณีจึงถือได้ว่า จำเลยผู้ชำระหนี้ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิหรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอน โดยมิใช่เป็นความผิดของจำเลยเมื่อจำเลยไม่ทราบว่าระหว่างโจทก์กับบริษัทเอ็ม บี เคพร็อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ใครมีสิทธิดีกว่ากันจึงจำเป็นอยู่เองที่จำเลยจะต้องกำหนดเงื่อนไขในการวางทรัพย์ไว้ว่า ให้ผู้มีสิทธิที่แท้จริงในการให้เช่าพื้นที่พิพาทเป็นผู้รับเงินค่าเช่าที่วางไว้ กรณีดังกล่าวหาใช่เป็นการกำหนดเงื่อนไขอันเป็นการทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินได้ไม่ ทั้งนี้เพราะหากโจทก์พิสูจน์ได้ว่า โจทก์มีสิทธิตามสัญญาเช่าดีกว่าบริษัทเอ็ม บี เค พร็อบเพอร์ตี้ส์ แอนด์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดผู้ให้เช่าเดิม โจทก์ก็สามารถรับเงินค่าเช่าที่จำเลยวางไว้ไปได้การวางเงินของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 331 แล้วจำเลยจึงหลุดพ้นจากหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์”
พิพากษายืน

Share