คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8252/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่2ถึงที่4ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีแต่ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำสั่งไม่รับโจทก์ที่2ถึงที่4ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์การที่โจทก์ที่2ถึงที่4มายื่นฟ้องจำเลยคดีนี้ต่อศาลแพ่งในระหว่างที่คดีก่อนค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง จำเลยเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของพ. ตกลงกับล.โจทก์ที่2ถึงที่4และพ. เพื่อแบ่งที่พิพาทส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของพ. ออกไปเพื่อจะนำไปแบ่งให้แก่ทายาทพ.ต่อไปจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของพ. จึงมีสิทธิทำสัญญาดังกล่าวได้เมื่อคู่กรณีมีเจตนาทำสัญญาขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันอันอาจมีขึ้นในภายหน้าให้เสร็จไปจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสอง โจทก์ที่1ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา168เดิม แม้พ. จะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็เป็นเรื่องที่พ. จะต้องเรียกร้องจากจำเลยเองโจทก์ที่1ไม่มีสิทธิเรียกร้องแทนพ. และเมื่อฟ้องโจทก์ที่2ถึงที่4เป็นฟ้องซ้อนจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ที่2ถึงที่4ได้ การที่ศาลยกฟ้องโจทก์ที่2ถึงที่4ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ที่2ถึงที่4ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีอยู่จริงหรือไม่จึงสมควรไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 24 มีนาคม 2527 จำเลยฝ่ายหนึ่งกับนางลิ้นจี่ โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 นายไพบูลย์ และโจทก์ที่ 4อีกฝ่ายหนึ่งได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยตกลงจะทำการขายที่ดิน น.ส.3 ทั้ง 3 แปลง อันเป็นทรัพย์มรดกของนางยาจิตรเพื่อนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระหนี้หลังจากนั้นจะนำเงินจำนวนร้อยละ 70 ของเงินส่วนที่เหลือมาแบ่งให้แก่นางลิ้นจี่โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 นายไพบูลย์ และโจทก์ที่ 4 ส่วนราคาที่ดินนั้นคู่สัญญาตกลงว่าจะร่วมกันกำหนดราคาให้เหมาะสมกับราคาท้องตลาด แต่หลังจากตกลงกันแล้ว จำเลยไม่ยินยอมให้ฝ่ายโจทก์เข้าร่วมกำหนดราคาขายที่ดิน และได้ยื่นเรื่องราวขอขายที่ดินทุกแปลงไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยฝ่ายโจทก์ไม่ได้รู้เห็นด้วยฝ่ายโจทก์จึงต้องอายัดที่ดินไว้ ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2530ฝ่ายโจทก์และจำเลยได้มีการเจรจากันเกี่ยวกับการขายที่ดินทั้ง 3 แปลง จำเลยยังคงยืนยันจะขายให้แก่น้องสาวของตนทั้ง 3 แปลงในราคา 5 ล้านบาท ฝ่ายโจทก์เห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาท้องตลาดซึ่งจะต้องขายได้ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท จึงตกลงกันไม่ได้ฝ่ายโจทก์ติดต่อให้จำเลยไปเจรจาตกลงกันต่อหน้าเจ้าพนักงานที่ดินหลายครั้ง แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงตลอดมา พฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางไม่สุจริต ทำให้ฝ่ายโจทก์เสียหาย หากนำที่ดินทั้ง 3 แปลงออกขายในท้องตลาดหักชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและหักค่าธรรมเนียมแล้วจะมีเงินเหลือไม่น้อยกว่า 18,000,000 บาทฝ่ายโจทก์จะได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 70 คิดเป็นเงินจำนวน 12,600,000บาท ขอให้บังคับจำเลยนำที่ดินตาม น.ส.3 จำนวน 3 แปลงออกขายโดยวิธีการขายทอดตลาด แล้วแบ่งให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิฉะนั้นให้ใช้เงินจำนวน 12,600,000 บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของนางยาจิตรให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในอัตราร้อยละ 70 ของเนื้อที่ดิน 3 แปลงหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงกับฝ่ายโจทก์แต่ถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ บันทึกข้อตกลงถ้าหากจะมีผลผูกพันก็ผูกพันจำเลยในฐานะส่วนตัวเท่านั้น บันทึกข้อตกลงดังกล่าวกระทำไปโดยมิได้ขออนุญาตจากศาล ไม่มีผลผูกพันเด็กชายพรอนันต์และเด็กหญิงอัสมาซึ่งเป็นทายาทของนายพนาผลและมีสิทธิในทรัพย์มรดกรวมอยู่ด้วย จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพนาผลไม่มีอำนาจที่จะทำนิติกรรมใด ๆ ที่มีผลทำให้ทรัพย์สินในกองมรดกของนายพนาผลลดน้อยลง บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำมั่นจะให้ทรัพย์สิน จึงเป็นนิติกรรมที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินในกองมรดกของนายพนาผลได้ จึงย่อมไม่มีผลผูกพันต่อทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายพนาผล ฟ้องโจทก์อ้างว่านายพนาผลยึดถือครอบครองที่ดิน น.ส.3 ทั้ง 3 แปลงแทนบรรดาทายาททั้งหมด จึงเป็นการฟ้องขอแบ่งมรดกของนางยาจิตรและมรดกของนายพนาผล เมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีเกิน 1 ปีนับแต่นางยาจิตรและนายพนาผลถึงแก่กรรม ฟ้องโจทก์ทั้งสี่จึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องของจำเลยตั้งประเด็นเข้ามาใหม่จึงไม่อนุญาตให้แก้ไขคำให้การ และเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้นำที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 3930และ 212 ตั้งอยู่ที่ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ร้อยละ 70 ของส่วนที่เหลือจากการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้องหมายเลข 1หรือมิฉะนั้นให้จำเลยใช้เงินจำนวน 12,600,000 บาท แก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นมรดกของนางยาจิตร ซื้อสุวรรณ ตามฟ้องให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 70ของเนื้อที่ดินพิพาททั้งสามแปลง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การและอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การได้ตามคำร้องและทำการสืบพยานในประเด็นพิพาทข้อ 4 แล้ว พิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้ว พิพากษาให้นำที่ดิน น.ส. 3เลขที่ 3 ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี น.ส.3 เลขที่ 930 ตั้งอยู่หมู่ที่ 2ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ น.ส.3เลขที่ 212 ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ร้อยละ 70ให้จำเลยร้อยละ 30 ของราคาที่เหลือจากการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้องหมายเลข 1 หรือมิฉะนั้นให้จำเลยใช้เงินจำนวน 12,600,000 บาท ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 3เลขที่ 930 และเลขที่ 212 อันเป็นมรดกของนางยาจิตร ซื้อสุวรรณทั้ง 3 แปลงให้แก่โจทก์ในอัตราส่วนร้อยละ 70 ของเนื้อที่ดินหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่5 กันยายน 2521 นางยาจิตร ซื้อสุวรรณ ได้ถึงแก่กรรม มีทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของนางยาจิตรรวม 5 คน ได้แก่นางลินจี่ นาคอรุณซึ่งเป็นมารดาของนางยาจิตร โจทก์ที่ 3 นายพนาผล ซื้อสุวรรณนายไพบูลย์ ซื้อสุวรรณ และโจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของนางยาจิตรศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 4 เป็นผู้จัดการมรดกของนางยาจิตรต่อมาวันที่ 31 ธันวาคม 2524 นายพนาผลถึงแก่กรรมมีทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของนายพนาผลรวม 4 คน ได้แก่ โจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นบิดาของนายพนาผลจำเลยซึ่งเป็นภรรยาของนายพนาผลเด็กชายพรอนันต์ ซื้อสุวรรณ และเด็กหญิงอัสมา ซื้อสุวรรณซึ่งเป็นบุตรของนายพนาผลกับจำเลย ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายพนาผล ขณะที่นายพนาผลถึงแก่กรรม การจัดการมรดกของนางยาจิตรยังไม่แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2527 จำเลยฝ่ายหนึ่งและโจทก์ทั้งสี่กับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้ทำข้อตกลงกันตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1แต่ยังมิได้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว โดยฝ่ายโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ยินยอมให้ฝ่ายโจทก์เข้าร่วมกำหนดราคาขายที่พิพาท ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2524 นางลิ้นจี่ถึงแก่กรรม ซึ่งโจทก์ที่ 3บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ที่ 1ตามพินัยกรรม แต่จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนางลิ้นจี่
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์ที่ 2ถึงที่ 4 จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 เมื่อข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2531 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 438/2531ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม2527 ต่อมาวันที่ 16 สิงหาคม 2531 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อวันที่ 12 กันยายน2531 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำสั่งรับอุทธรณ์ในวันเดียวกันเห็นว่า การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นผลให้คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดและอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยื่นคำฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2527 เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม2531 ในระหว่างที่คดีก่อนยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
จำเลยฎีกาต่อไปว่า ข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1ไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและไม่ผูกพันจำเลย และสัญญาดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลยในฐานะผู้ปกครองเด็กชายพรอนันต์และเด็กหญิงอัสมาผู้เยาว์นั้น เห็นว่า ที่พิพาทดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายพนาผลทั้งหมด แต่เป็นทรัพย์มรดกของนางยาจิตร ซึ่งนางลิ้นจี่ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 นายไพบูลย์และนายพนาผลมีส่วนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย จึงเป็นกรณีจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะทายาทของนายพนาผลฝ่ายหนึ่งตกลงกับนางลิ้นจี่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และนายไพบูลย์อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อแบ่งที่พิพาทส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนายพนาผลออกไปจากส่วนของนางลิ้นจี่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และนายไพบูลย์เพื่อจะได้นำทรัพย์มรดกของนายพนาผลดังกล่าวไปแบ่งให้แก่ทายาทของนายพนาผลต่อไปจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายพนาผลจึงมีสิทธิทำสัญญาดังกล่าวได้และตามสัญญาดังกล่าวมีข้อตกลงให้แบ่งส่วนระหว่างนางลิ้นจี่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 นายไพบูลย์และจำเลยเชื่อว่าคู่กรณีทุกฝ่ายมีเจตนาจะทำสัญญาขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันอันอาจมีขึ้นในภายหน้าให้เสร็จไป จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้นเห็นว่า โจทก์ที่ 1 ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 เดิม ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้ ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2527โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2531จึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า นายไพบูลย์คู่สัญญากับจำเลยอีกคนหนึ่งมิได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาด้วยโจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าที่ดินให้โจทก์ทั้งสี่เพียง 4 ใน 5 ของร้อยละ 70 ของราคาที่พิพาทเท่านั้นเห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดหน้าที่จำเลยให้ขายที่พิพาทแล้วนำเงินที่ได้แบ่งให้นางลิ้นจี่ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4และนายไพบูลย์ร้อยละ 70 ของเงินส่วนที่เหลือจากการชำระหนี้โดยให้แบ่งให้คนละเท่า ๆ กัน ฉะนั้นจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องแบ่งเงินให้นางลิ้นจี่ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และนายไพบูลย์ตามที่แต่ละคนมีสิทธิได้รับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นสำหรับส่วนของนายไพบูลย์เป็นเรื่องที่นายไพบูลย์จะต้องเรียกร้องจากจำเลยเอง โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกร้องแทนนายไพบูลย์และเมื่อฟังได้ว่าฟ้องของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 438/2531 ของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีดังได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยแบ่งเงินหรือโอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ในคดีนี้ได้
อนึ่ง การยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ในกรณีเช่นนี้เป็นการยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ว่ามีอยู่จริงหรือไม่เพียงใด จึงสมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งเงินให้โจทก์ที่ 1 จำนวน1 ใน 5 ส่วนของเงินร้อยละ 70 ของราคาที่ดินพิพาทที่เหลือจากการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1หรือให้จำเลยใช้เงินจำนวน 1 ใน 5 ส่วนของเงิน 12,600,000 บาทให้โจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินน.ส.3 เลขที่ 3, 930 และ 212 ให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 1 ใน 5 สวนของร้อยละ 70 ของที่ดินดังกล่าวให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share