คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่า จำเลยติดต่อขายผ้าของผู้เสียหายให้แก่ผู้อื่นรวม 6 ครั้ง จำเลยเรียกเก็บเงินราคาผ้าแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนหรือบุคคลอื่นโดยทุจริต เมื่อได้ความว่าผู้เสียหายมอบใบรับสินค้าให้จำเลยไปเก็บเงินจำเลยเก็บเงินได้กี่ครั้ง จำนวนเท่าใด แล้วเบียดบังเอาไปเมื่อใดจำเลยย่อมรู้ดี แต่โจทก์ไม่อาจจะทราบได้แน่ชัดนอกจากสันนิษฐานเอาว่า จำเลยยักยอกเงินค่าผ้าไปในระหว่างวันที่ลูกค้าได้รับผ้าและวันที่ทราบว่าจำเลยยักยอกเอาเงินค่าผ้าไป ดังนี้ เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 352, 91 จำคุก 1 ปี รวม 2 กรรม จำคุก 3 ปี โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาตามฎีกาจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์ข้อหาฐานยักยอกทรัพย์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) หรือไม่ ฟ้องโจทก์บรรยายว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม2523 ตลอดมาจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2524 จำเลยบังอาจยักยอกทรัพย์ต่างกรรมต่างวาระกันโดยจำเลยได้ติดต่อขายสินค้าผ้าของบริษัทผู้เสียหายให้แก่ร้าน ช. ฮวด กรุงเกษม จำนวน 6 ครั้ง รวมราคาผ้า 189,921 บาท จำเลยได้เรียกเก็บเงินจำนวนนั้นจากร้าน ช. ฮวด กรุงเกษม แล้วเบียดบังเอาเงินจำนวน 189,921 บาทของผู้เสียหายเป็นของตนหรือบุคคลอื่นโดยทุจริตข้อที่จำเลยอ้างว่า ฟ้องโจทก์ไม่บรรยายว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ 6 ครั้งนั้น ครั้งไหน เมื่อวันเดือนปีอะไร เป็นเงินจำนวนเท่าใด จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบ เห็นว่าโจทก์คงทราบจากหลักฐานแต่เพียงว่า จำเลยติดต่อขายผ้าของผู้เสียหายให้แก่ลูกค้า 6 ครั้ง แต่ละครั้ง เมื่อใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่การเก็บเงินค่าผ้าเก็บภายหลังจากส่งผ้าให้ลูกค้า แม้ผู้เสียหายจะมอบใบรับสินค้าชั่วคราวให้จำเลยไปเก็บเงินค่าผ้าจำเลยเก็บเงินค่าผ้าได้กี่ครั้ง จำนวนเท่าใด และเบียดบังเอาไปเมื่อใดข้อนี้ จำเลยย่อมรู้ดี แต่โจทก์ไม่อาจจะทราบได้แน่ชัดนอกจากสันนิษฐานเอาว่าจำเลยยักยอกเอาเงินค่าผ้าไปในระหว่างวันที่ลูกค้าได้รับผ้าและวันที่ทราบว่าจำเลยยักยอกเอาเงินค่าผ้าไป ดังนั้นฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าได้บรรยาย การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)” ฯลฯ

“สำหรับฎีกาโจทก์ที่ขอให้พิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์198,921 บาท (ที่ถูกน่าจะเป็น 189,921 บาท) แก่บริษัทผู้เสียหายข้อนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้องโจทก์ ซึ่งฟ้องโจทก์มีคำขอในข้อหานี้ให้ศาลสั่งให้จำเลยใช้เงิน 189,921 บาทแก่บริษัทผู้เสียหาย ดังนั้นตามฟ้องอุทธรณ์ถือได้ว่า โจทก์ขอให้จำเลยใช้เงินตามคำขอในฟ้องโจทก์ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้อง แต่ไม่ได้สั่งให้จำเลยใช้เงินตามคำขอในฟ้อง จึงยังไม่ชอบ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน 189,921 บาทแก่บริษัทผู้เสียหายนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share