คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8241/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยแล้ว ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลตามกำหนด ศาลแรงงานมีคำสั่งว่า ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีต่อไป ให้จำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ จึงเท่ากับว่าไม่มีฟ้องเดิมของโจทก์อยู่ในศาลแล้ว คงเหลือเฉพาะฟ้องแย้งของจำเลยเท่านั้น และฐานะของจำเลยเท่ากับเป็นโจทก์ และโจทก์เท่ากับเป็นจำเลย แม้เมื่อศาลแรงงานกลางพิจารณาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยโดยเปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งเข้ามา ในคำให้การของโจทก์ส่วนที่ว่าฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเพราะเป็นคำขอที่แตกต่างคนละเรื่องกันขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยเสียนั้น ไม่มีฟ้องเดิมอีกต่อไปแล้ว คำให้การของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยจะเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางไม่กำหนดประเด็นนี้ไว้ ไม่พิจารณาในเรื่องฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ แต่กลับพิจารณาในประเด็นอื่นอันเป็นเนื้อหาสาระคดีคือ โจทก์ค้างจ่ายค่าจ้างแก่จำเลยอยู่จริงหรือไม่ จำนวนเท่าใด ต้องจ่ายดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดหรือไม่ จำนวนเท่าใดนั้น เป็นการถูกต้องด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 7,065,771.88 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 6,966,694.04 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างค้างจ่าย เงินเพิ่มตามกฎหมายและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ารวมเป็นเงิน 1,313,341 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินค่าชดเชย 112,700 บาท ค่าจ้างค้างจ่าย 39,445 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์มิได้ให้การแก้ฟ้องแย้ง
หลังจากศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยแล้วปรากฏว่าในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลตามกำหนดนัด ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่าถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้จำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ และเนื่องจากศาลแรงงานกลางจำหน่ายคดีของโจทก์แล้วจึงไม่มีตัวโจทก์ที่จะให้จำเลยฟ้องแย้งอีก จึงให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยออกจากสารบบความด้วย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางเฉพาะในส่วนที่ให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลย ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยต่อไป และมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์จ่ายเงินเดือนที่ค้างชำระจำนวน 39,445 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากยอดเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 17 พฤษภาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย คำขอจำเลยนอกเหนือจากนั้นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2532 โจทก์จ้างจำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าศูนย์ ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้าย 11,270 บาท ต่อมาวันที่ 16 มิถุนายน 2543 โจทก์มีคำสั่งไล่จำเลยออกฐานกระทำการทุจริตเป็นความผิดร้ายแรงไม่นำเงินค่าเบี้ยประกันซึ่งจำเลยขายประกันและเรียกเก็บได้ส่งคืนโจทก์ ยังค้างโจทก์เป็นจำนวนเงิน 7,065,771 บาท โจทก์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้จำเลยแต่โจทก์ต้องจ่ายเงินเดือนที่ค้างชำระแก่จำเลย โจทก์อุทธรณ์ว่า ฟ้องแย้งจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ขอให้ยกฟ้อง การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ต้องจ่ายเงินตามฟ้องแย้งของจำเลย ซึ่งเรียกร้องค่าจ้างค้างจ่ายและเงินเพิ่มมาเป็นเงิน 1,000,000 บาทเศษ โดยโจทก์ได้ให้การต่อสู้มาแต่แรกแล้วว่าฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม แต่ศาลแรงงานกลางไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ไว้ กลับรับวินิจฉัยในเรื่องที่จำเลยขอมาในฟ้องแย้ง โดยให้โจทก์รับผิดตามฟ้องแย้งของจำเลย อันเป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ในฟ้องเดิมหลังจากศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยแล้ว ปรากฏว่าในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลตามกำหนดนัด ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีต่อไปให้จำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ จึงไม่มีตัวโจทก์จะให้จำเลยฟ้องแย้งอีก จึงให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยออกจากสารบบความด้วย จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งของศาลแรงงานกลางเฉพาะในส่วนเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลย ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยต่อไป ดังนี้ จึงเท่ากับว่าไม่มีฟ้องเดิมของโจทก์อยู่ในศาลแล้ว คงเหลือเฉพาะฟ้องแย้งของจำเลยเท่านั้น และฐานะของจำเลยเท่ากับเป็นโจทก์ แต่โจทก์เท่ากับเป็นจำเลย แม้เมื่อศาลแรงงานกลางพิจารณาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยใหม่โดยเปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งเข้ามาอีกก็ตาม ในคำให้การของโจทก์ส่วนที่ว่าฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม เพราะเป็นคำขอที่แตกต่างคนละเรื่องกันขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยเสียนั้น ไม่มีฟ้องเดิมอีกต่อไปแล้ว คำให้การของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยจะเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางไม่กำหนดประเด็นนี้ไว้ก็ดี ไม่พิจารณาในเรื่องฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ก็ดี แต่กลับพิจารณาในประเด็นอื่นอันเป็นเนื้อหาสาระคดี คือโจทก์ได้ค้างจ่ายค่าจ้างแก่จำเลยอยู่จริงหรือไม่ จำนวนเท่าใด ต้องจ่ายดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดหรือไม่ จำนวนเท่าใดมานั้น เป็นการถูกต้องด้วยกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share