แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดธ.ปรับปรุงที่ดินและก่อสร้างศูนย์การค้าโดยยกกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ทำการจัดหาผลประโยชน์ต่อมาจำเลยทำการก่อสร้างอาคารพาณิชย์รุกล้ำที่ดินแปลงดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนไปนั้น เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดแล้วส่วนที่โจทก์จะได้มีการตรวจสอบเขตที่ดินให้แน่นอนก่อนฟ้องหรือไม่ และที่โจทก์ไม่บรรยายฟ้องถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ธ. ตามสัญญาก่อสร้างศูนย์การค้านั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องที่บรรยายไว้โดยแจ้งชัดแล้ว แม้โจทก์จะนำสืบข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากคำฟ้อง ก็ไม่ทำให้คำบรรยายฟ้องที่แจ้งชัดกลายเป็นคำบรรยายฟ้องที่ไม่แจ้งชัดไปได้คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์เลขที่ 152 ถนนชมสินธุ์ ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไปให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป
จำเลยให้การว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์เลขที่ 152 ถนนชมสินธุ์ ตำบลหัวหินอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกไปจากที่ดินตามฟ้องห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไปให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์อัตราเดือนละ 2,000 บาทนับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 ตุลาคม 2536) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ออกจากที่ดินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยให้การว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดว่าโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดต. ธนะศิลป์ ได้ทำสัญญาก่อสร้างศูนย์การค้าหัวหินตั้งแต่เมื่อใดมีข้อสัญญากำหนดสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ต้องปฏิบัติต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดต. ธนะศิลป์อย่างไร ห้างหุ้นส่วนจำกัดต. ธนะศิลป์ มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ แบบแปลนการก่อสร้างมีขอบเขตถึงอาคารพาณิชย์เลขที่ 152 ของจำเลยหรือไม่เป็นการอำพรางข้อเท็จจริง เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิใช้ที่ดินของรัฐส่วนที่มีพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันในท้องที่ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 89 ตารางวาเพื่อจัดหาผลประโยชน์สำหรับบำรุงท้องที่ โดยโจทก์ได้รับอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว และโจทก์ได้ทำสัญญาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต. ธนะศิลป์ ปรับปรุงที่ดินแปลงดังกล่าวและก่อสร้างศูนย์การค้าแล้วยกกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ทำการจัดหาผลประโยชน์ ต่อมาเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2533โจทก์ตรวจพบว่าอาคารพาณิชย์เลขที่ 152 ถนนชมสินธุ์ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของจำเลยปลูกสร้างรุกล้ำที่ดินแปลงดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไป โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าอาคารพาณิชย์เลขที่ 152 ของจำเลยปลูกสร้างรุกล้ำที่ดินที่โจทก์มีสิทธิใช้ โดยข้ออ้างของโจทก์ก็คือจำเลยไม่มีสิทธิที่จะใช้ที่ดินดังกล่าวโจทก์มีคำขอให้ศาลบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนอาคารพาณิชย์เลขที่ 152 ออกไปคำฟ้องของโจทก์บรรยายครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ข้อกล่าวอ้างตามฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ยังไม่ได้รังวัดตรวจสอบเขตที่ดินให้แน่นอนก่อนฟ้องว่าอาคารพาณิชย์เลขที่ 152 อยู่ในเขตที่ดินโจทก์หรือไม่เพียงใด และโจทก์ไม่บรรยายฟ้องถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดต. ธนะศิลป์ ตามสัญญาก่อสร้างศูนย์การค้าหัวหินทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์อาจจะนำสืบในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ชัดเจนพอที่ทำให้จำเลยเข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบแตกต่างไปจากคำฟ้องทั้งหมดคำฟ้องบรรยายเท็จนั้น เมื่อคำฟ้องได้บรรยายโดยแจ้งชัดแล้วโจทก์จะนำสืบข้อเท็จจริงตามคำฟ้องได้หรือไม่ ก็ไม่ทำให้คำบรรยายฟ้องที่แจ้งชัดกลายเป็นคำบรรยายฟ้องที่ไม่แจ้งชัดไปได้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน