คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานประจำหน่วยสืบสวนกองปราบปรามกรมสรรพสามิต จำเลยที่ 2 เป็นพลตำรวจ ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นราษฎรร่วมกันกระทำผิด โดยจำเลยที่ 3แกล้งกล่าวหาว่าผู้เสียหายมีเฮโรอีน แล้วอ้างตนว่าเป็นตำรวจจับตัวผู้เสียหายไปพบกับ จำเลยที่ 1 และที่2 จำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายว่าตนเป็นผู้บังคับหมวดตำรวจ ให้เอาเงินมาให้จำเลย 5,000 บาทแล้วไม่ต้องไปโรงพัก สามีของผู้เสียหายไปหาเงินจำเลยก็คุมตัวผู้เสียหายรออยู่ จนเมื่อหาเงินมาได้และให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยจึงปล่อยตัว ดังนี้จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145,337,148 ประกอบกับมาตรา 86 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 148, และ 337 แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90ให้ใช้บทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษและถึงแม้จะมิได้ใช้มาตรา 337 เป็นบทลงโทษเช่นนี้ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายตามที่อัยการโจทก์ขอด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145,148, 337, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขฯ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 5,000 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายละอองกับนางหยี่เป็นสามีภรรยากัน เวลาเกิดเหตุนางหยี่ ผู้เสียหายอยู่ร้านส่วนนายละอองไม่อยู่ จำเลยที่ 3 ผู้มิได้เป็นเจ้าพนักงานเข้าไปในร้าน ตรงไปหยิบถุงกระดาษใต้ร้านผัก กับหยิบห่อเล็ก ๆ ออกจากถุงแก้ออกดูเป็นวัตถุเม็ดเล็ก ๆ สีเม็ดมะปราง และว่าเป็นเฮโรอีนผู้เสียหายว่าไม่ใช่ของตน จำเลยที่ 3 บอกว่าตนเป็นตำรวจและคุมผู้เสียหายออกจากร้านไปที่ร้านกาแฟ มีจำเลยที่ 1 ซึ่งรับราชการประจำหน่วยสืบสวนกองปราบปราม กรมสรรพสามิต และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพลตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลท่าเรือตามไปด้วย ไปนั่งร่วมโต๊ะกันในกาแฟ จำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายว่าตนเป็นผู้บังคับหมวดตำรวจ ให้ผู้เสียหายเอาเงินมาให้ 5,000 บาทแล้วไม่ต้องไปโรงพักผู้เสียหายว่าไม่มี พอดีนายละอองตามมาสอบถาม จำเลยที่ 1 บอกให้เอาเงินมาเสีย 5,000 บาท ให้ไปหาเงินมา นายละอองก็ไปจำเลยทั้ง 3 คุมผู้เสียหายไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ คลองเตย นายละอองหาเงินมาได้ เอามาให้ผู้เสียหาย ๆ ส่งให้จำเลยที่ 1 นับได้ 5,000 บาท แล้วส่งให้ผู้เสียหายบอกว่าให้เอาไปส่งให้ที่รถ แล้วจำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายกับนายละอองขึ้นรถแท็กซี่ไป โดยบอกจำเลยที่ 2, 3 ไว้ว่าให้ไปพบกันยังที่นัด เมื่อไปถึงที่จอดรถ ร.ส.พ.แล้ว จำเลยที่ 1 ให้ผู้เสียหายส่งถุงเงินให้ และให้ผู้เสียหายกับนายละอองลงจากรถ แล้วจำเลยที่ 1 ก็นั่งรถต่อไป

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145, 148, 337, 83 แก้ไขเพิ่มเติมฯ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 แต่ให้ลงโทษตามบทหนัก คือ มาตรา 148 ประกอบกับที่แก้ไขฯ จำคุกจำเลยที่ 1, 2 คนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นราษฎรร่วมกระทำผิด ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือนให้จำเลยทั้ง 3 คืนหรือใช้เงิน 5,000 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดียังน่าสงสัย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทุกคนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145, 148 ตามที่แก้ไขฯ 337 และ 83 นั้น ยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะจำเลยที่ 1รับราชการเป็นสรรพสามิตอำเภอสัมพันธวงศ์ ได้กระทำการนอกเหนืออำนาจหน้าที่ กับจำเลยที่ 3ซึ่งเป็นราษฎรได้ร่วมกันแสดงตนเป็นตำรวจและควบคุมตัวผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามมาตรา 145 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจอยู่แล้วจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 145 ด้วย จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 148 ซึ่งจำเลยที่ 1และ 3 ได้ร่วมมือในการกระทำผิดด้วย แต่ไม่อาจเป็นตัวการในการกระทำผิดตามมาตรา 148 ได้ จึงต้องมีความผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 นอกจากนี้การกระทำของจำเลยทั้งสามยังเป็นความผิดตามมาตรา 337 ด้วย แต่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามมาตรา 90 ให้ใช้บทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษ

พิพากษากลับ ว่าจำเลยที่ 1, 3 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 145, 337, 148, 86 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ พ.ศ. 2502มาตรา 4 จำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 148, 337 พระราชบัญญัติแก้ไขฯมาตรา 4 ให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 3 ตามมาตรา 148 ตามที่แก้ไขฯ ประกอบกับมาตรา 86 ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 148 ตามที่แก้ไขฯ ส่วนอัตราโทษให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ตลอดทั้งให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 5,000 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย

Share