คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8228/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายกับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียนกันมาเป็นเวลานานเกือบ 30 ปี มีบุตรด้วยกัน 5 คน มีความสัมพันธ์รักใคร่ผูกพันซึ่งกันและกันแม้จะมีปากเสียงทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างสามีภริยา เหตุที่จำเลยใช้เคียวฟันผู้ตายก็เนื่องจากถูกผู้ตายถีบและเตะซึ่งถือเป็นเหตุเล็กน้อย กรณีไม่ใช่เหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องฆ่ากัน จำเลยฟันผู้ตายเพียงครั้งเดียว การที่เคียวถูกที่ลำคอผู้ตายเป็นเรื่องบังเอิญ กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา
แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเป็นสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันผู้ตายก็ไม่มีอำนาจโดยชอบธรรมที่จะเตะถีบทำร้ายร่างกายและข่มขู่จะฆ่าจำเลยได้เมื่อผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน กรณีถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้ การที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันผู้ตายไป 1 ครั้ง ก็เพื่อจะยับยั้งมิให้ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยอีก จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายดังกล่าว แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ถีบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธ ทั้งจำเลยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แม้จำเลยอ้างว่าผู้ตายขู่จะฆ่าจำเลยด้วยก็เป็นเรื่องข่มขู่กันระหว่างสามีภริยา ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องจริงจัง จึงมิใช่ภยันตรายที่ร้ายแรงอย่างมาก การที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันถูกที่ลำคอผู้ตาย แม้จะมีเจตนาเพียงทำร้ายเพื่อไม่ให้ผู้ตายเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตาม ป.อ.มาตรา 290 ประกอบด้วยมาตรา 69

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๘ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยใช้เคียวปลายแหลมยาวประมาณ ๑๐ นิ้ว กว้างประมาณ ๐.๗ นิ้ว เป็นอาวุธแทงคอนายอ้วน ปัญญางาม ๑ ที โดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้นายอ้วน ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๖๘, ๖๙ จำคุก ๘ ปี คำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๔ ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก ๕ ปีคำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนตลอดจนทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายกับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่จดทะเบียนกัน ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องขณะที่ผู้ตายนอนอยู่ในมุ้งบนบ้านนางด้วง เมืองมา จำเลยได้เข้าไปปลุกผู้ตายในมุ้งต่อมาผู้ตายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถูกเคียวฟันที่บริเวณลำคอด้านซ้าย แล้วถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษามาหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาและนำสืบอ้างว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า บาดแผลของผู้ตายเกิดขึ้นโดยบังเอิญเนื่องจากผู้ตายกระโดดเข้ามาจะทำร้ายจึงถูกเคียวที่จำเลยถืออยู่นั้นเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่มีพยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุว่าจำเลยใช้เคียวฟันผู้ตายจริงหรือไม่แต่โจทก์มีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.๗ ซึ่งให้การรับสารภาพว่าจำเลยได้ใช้เคียวของกลางฟันผู้ตาย เนื่องจากถูกผู้ตายถีบเตะและข่มขู่ว่าจะใช้มีดฟันจำเลยให้ตาย ซึ่งคำให้การดังกล่าวจำเลยได้ให้ปากคำไว้ในวันเกิดเหตุ อันเป็นระยะเวลาใกล้ชิดกับเหตุการณ์ ไม่ทันที่จำเลยมีเวลาคิดเสริมแต่งหรือหาข้อแก้ตัวเพื่อจะให้พ้นจากความรับผิด ทั้งยังเป็นคำรับที่เป็นผลร้ายแก่ตนเองหากจำเลยไม่ได้กระทำก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะให้การยอมรับเช่นนั้น นอกจากนี้โจทก์ก็ยังมีร้อยตำรวจเอกสุรชน ขวดแก้ว พนักงานสอบสวนซึ่งไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน มาเบิกความยืนยันว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ น่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพไปตามความจริงและโดยสมัครใจข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยใช้เคียวฟันถูกที่ลำคอผู้ตายจริง หาใช่ผู้ตายกระโดดเข้ามาถูกเคียวที่จำเลยถือไว้เองแต่อย่างใดไม่
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือไม่เห็นว่า ผู้ตายกับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากันมาเป็นเวลานานเกือบ ๓๐ ปี มีบุตรด้วยกัน ๕ คน ย่อมมีความสัมพันธ์รักใคร่ผูกพันซึ่งกันและกัน แม้ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายจะมีปากเสียงทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างสามีภริยา เหตุที่จำเลยใช้เคียวฟันผู้ตายก็เนื่องจากถูกผู้ตายถีบและเตะซึ่งถือเป็นเหตุเล็กน้อย เนื่องจากผู้ตายกับจำเลยเคยทะเลาะและมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง กรณีไม่ใช่เหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องฆ่ากันเห็นได้จากจำเลยฟันผู้ตายเพียงครั้งเดียวไม่ได้ฟันผู้ตายซ้ำทั้งที่สามารถทำได้ และเมื่อได้พิจารณาบาดแผลของผู้ตายซึ่งมีความกว้างเพียง ๑ เซนติเมตรลึกประมาณ ๓ เซนติเมตร แล้วเห็นว่าค่อนข้างเล็กทั้งที่ลำคอเป็นอวัยวะที่อ่อนนุ่มแสดงว่าจำเลยฟันผู้ตายไม่แรงนัก การที่จำเลยใช้เคียวฟันออกไปก็เพื่อจะป้องกันไม่ให้ผู้ตายเข้ามาทำร้ายจำเลยอีกเท่านั้น ในเวลาชุลมุนเช่นนั้นไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะมีโอกาสเลือกฟันอวัยวะสำคัญของผู้ตาย การที่เคียวถูกที่ลำคอผู้ตายจึงอาจเป็นเรื่องบังเอิญ กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕วินิจฉัยมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเท่านั้น
ปัญหาต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเป็นสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันผู้ตายก็ไม่มีอำนาจโดยชอบธรรมที่จะเตะถีบทำร้ายร่างกายและข่มขู่จะฆ่าจำเลยได้โดยเฉพาะเหตุคดีนี้ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อขึ้นก่อน กรณีถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้ การที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันผู้ตายไป ๑ ครั้ง ก็เพื่อจะยับยั้งมิให้ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยอีก เพราะภยันตรายอันเกิดจากการกระทำของผู้ตายยังไม่สิ้นสุดลง จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามขณะเกิดเหตุผู้ตายเพียงแต่ถีบเตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธอะไร ทั้งจำเลยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แม้จำเลยอ้างว่าผู้ตายขู่จะฆ่าจำเลยด้วยก็เป็นเรื่องข่มขู่กันระหว่างสามีภริยา ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร จึงมิใช่ภยันตรายที่ร้ายแรงอย่างมาก การที่จำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันถูกที่ลำคอผู้ตายแม้จะไม่มีเจตนาฆ่าดังได้วินิจฉัยมา คงมีเจตนาเพียงทำร้ายเพื่อไม่ให้ผู้ตายเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้นเห็นว่า เหตุคดีนี้เกิดจากการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างสามีภริยา โดยผู้ตายเป็นผู้ก่อ ประกอบกับจำเลยเป็นหญิงมีอายุมากแล้วสมควรวางโทษจำเลยสถานเบา แต่เนื่องจากจำเลยใช้เคียวเป็นอาวุธฟันผู้ตาย โดยที่ผู้ตายไม่มีอาวุธถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ร้ายแรงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๐ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ จำคุก ๒ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕.

Share