คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8222/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 39 แสดงให้เห็นว่าที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 จะโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 จึงต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นย่อมก่อให้เกิดการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้วิธีการทำกินต่างดอกเบี้ย ศาลจึงมิอาจพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 นางเสือน กู้ยืมเงินจำนวน 42,000 บาท จากโจทก์ กับส่งมอบที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเลขที่ 2543 ตำบลหนองบอน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ให้ทำกินต่างดอกเบี้ย วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545 นางเสือนกู้ยืมเงินเพิ่มอีกจำนวน 150,000 บาท กับให้สิทธิโจทก์เข้าทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมานางเสือนถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกจึงตกทอดแก่จำเลยซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 192,000 บาท หากไม่ชำระให้โจทก์เข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือน หากไม่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์เช่าที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือน และครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว นางเสือนไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ สัญญากู้ทั้งสองฉบับเป็นเอกสารปลอม เดือนกุมภาพันธ์ 2545 นางเสือนเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรวมแพทย์สุรินทร์ โจทก์เป็นผู้ออกเงินค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 6,000 บาท แล้วนำสัญญากู้ให้นางเสือนลงลายมือชื่อกับยึดหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือนไว้ เมื่อนางเสือนถึงแก่ความตาย จำเลยขอชำระหนี้จำนวน 6,000 บาท แต่โจทก์ไม่ตกลง จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวโจทก์ไม่พอใจ โจทก์จึงกรอกข้อความลงในสัญญากู้แล้วนำมาฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 192,000 บาท แก่โจทก์ แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือนเลขที่ 2543 นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 กรกฎาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้แย้งว่า จำเลยเป็นทายาทผู้รับมรดกและเป็นผู้จัดการมรดกของนางเสือนตามเอกสารหมาย ล.2 นางเสือนได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 – 01 เลขที่ 2543 เล่ม 26 หน้า 43 อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ขณะมีชีวิตนางเสือนทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ 2 ครั้ง เป็นเงิน 192,000 บาท ไม่มีดอกเบี้ย โดยให้โจทก์เข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว เมื่อนางเสือนถึงแก่ความตายทรัพย์มรดกตกทอดแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำขอของโจทก์เรื่องที่ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 – 01 ส่วนศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิทำกินในที่ดินดังกล่าว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 – 01 เลขที่ 2543 ตามเอกสารหมาย จ.2 หรือไม่ ตรวจดูเอกสารหมาย จ.2 ที่ด้านหลังของ ส.ป.ก. 4 – 01 ระบุเป็นตัวอักษรสีแดงว่าห้ามแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่น และด้านล่างมีข้อความว่าเกษตรกรผู้ได้รับเอกสาร ส.ป.ก. 4 – 01 มีหน้าที่ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเนื้อที่ที่ได้รับจาก สปก. ต่อจากนั้นมีข้อความเพิ่มเติมอีกว่า “ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือ ส.ป.ก.เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง” ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นเป็นข้อความจากพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 39 นอกจากนี้ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวยังมีเจตนารมณ์ตามหมายเหตุระบุว่า เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพในการเกษตร ที่ดินจึงเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นรากฐานเบื้องต้นของการผลิตทางเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันปรากฏว่าเกษตรกรกำลังประสบความเดือดร้อนเนื่องจากต้องสูญเสียสิทธิในที่ดินและกลายเป็นผู้เช่าดินต้องเสียค่าเช่าที่ดินในอัตราสูงเกินสมควรที่ดินขาดการบำรุงรักษาจึงทำให้อัตราผลิตผลเกษตรกรรมอยู่ในระดับต่ำ เกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรมและเสียเปรียบจากระบบการเช่าที่ดินและการจำหน่ายผลิตผลตลอดมา ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะความยุ่งยากทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม การปกครองและการเมืองของประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วนที่สุดเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์มากที่สุด พร้อมกับการจัดระบบการผลิตและจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรมเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกร ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองแนวนโยบายแห่งรัฐในการลดความเหลื่อมล้ำในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสังคมตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น จากบทบัญญัติตามมาตรา 39 และหมายเหตุดังกล่าวจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 – 01 นั้นจะโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 – 01 จึงต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นย่อมก่อให้เกิดการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้วิธีการทำกินต่างดอกเบี้ย ศาลจึงมิอาจพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 – 01 ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share