แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับโอนห้องพิพาทมาจากมารดาโดยจำเลยเป็นผู้เช่าอยู่ในขณะโอน โจทก์จึงรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 569 วรรคสอง โจทก์ได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย ณ ห้องพิพาทแล้วแต่ส่งไม่ได้โดยมีหมายเหตุการนำจ่ายไปรษณียภัณฑ์แจ้งเหตุขัดข้องว่าผู้รับไม่ยอมรับ จึงถือว่าได้มีการบอกเลิกการเช่าไปถึงจำเลยโดยชอบแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายไพโรจน์รัตแพทย์ ฟ้องคดีนี้ จำเลยเป็นผู้เช่า ตึกแถวเลขที่ 50 ถนนตีทองแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ของโจทก์โดยไม่มีสัญญาเช่า กำหนดค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาท ชำระทุกวันสิ้นเดือน จำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์มาแต่เพือนพฤศจิกายน2525 โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าอีกต่อไป ได้บอกกล่าวเลิกการเช่าให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปภายในกำหนด 15 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึแถวเลขที่ 50 ถนนตีทอง แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครของโจทก์ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไปจากห้องดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยมอบอำนาจให้นายไพโรจน์ รัตนแพทย์กระทำการแทนโจทก์ และโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตจากสามีให้ฟ้องคดี จำเลยไม่เคยเช่าตึกพิพาทจากโจทก์ แต่จำเลยเช่าจากนางวาณี ล่ำซำ โดยมีคุณหญิงสร้อย ชวกิจบรรหาร หรือคุณหญิงสร้อย ร ป้อมเพ็ชร เป็นผู้แทนลงนามในสัญญาในฐานะผู้ให้เช่า อัตราค่าเช่าเดือนละ 120 บาทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ต่อมาปี 2525 ขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 150 บาทจำเลยไม่เคยรู้จักกับโจทก์ จำเลยไม่เคยติดค้างค่าเช่าตึกพิพาทในการชำระค่าเช่าเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่าจะต้องส่งคนมาเก็บทุกเดือน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาทเลขที่ 50 ถนนตีทอง แขวงราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องให้จำเลยชำระค่าเสียหายจนกว่าจะขนย้ายออกไปเสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับโอนที่ดินพร้อมห้องพิพาทมาจากนางวาณี ล่ำซำ มารดาจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทอยู่ก่อนโจทก์ได้รับโอนห้องพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์
ตามฎีกาข้อ 2.3 ข้อ 2.4 ข้อ 2.5 และ ข้อ 2.6 ซึ่งสรุปใจความได้ว่าจำเลยฎีกาในประเด็นว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าห้องพิพาท และมีการบอกเลิกการเช่าแล้วหรือไม่ สำหรับเรื่องโจทก์ให้จำเลยเช่าห้องพิพาทหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้โดยคู่ความไม่โต้แย้งกันว่าโจทก์ได้รับโอนห้องพิพาทมาจากมารดาโดยจำเลยเป็นผู้เช่าอยู่ในขณะโอน โจทก์จึงได้รับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มิใช่ผู้ให้จำเลยเช่าจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนในปัญหาว่ามีการเลิกการเช่าแล้วหรือไม่นั้น โจทก์มีเอกสาร หมาย จ.5-จ.6 ซึ่งเป็นหนังสือบอกเลิกการเช่ากับซองจดหมายบรรจุหนังสือมาแสดงว่าโจทก์ได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย ณ ห้องพิพาทนี้แล้ว มีหมายเหตุการนำจ่ายไปรษณียภัณฑ์แจ้งเหตุขัดข้องการส่งของที่ทำการไปรษณีย์ท้องที่ว่า ผู้รับไม่ยอมรับจึงถือว่าได้มีการบอกเลิกการเช่าไปถึงจำเลยโดยชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.