แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญา สินจ้างฝ่ายเดียว ผิดรัฐประสาสโนบาย
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่า โจทย์ให้นายมาลัยเปนผู้รับซื้อที่นา ตำบลดอนไผ่ จังหวัดราชบุรีของโจทย์ ซึ่งศาลมณฑลราชบุรียึดไว้ขายทอดตลาด โดยมีสัญญาว่า ถ้าขาดเงินอยู่เท่าใดให้นายมาลัยออกไปก่อน แลเมื่อรับซื้อไว้ได้แล้วให้ขายต่อไป เอาเงินที่ขายได้ใช้เงินที่นายมาลัยได้ออกไป เหลือเท่าไรให้หักเงินที่หลวงวรากร ฯ บุตร์โจทย์กับนางทองดีแพ้ความเปนณี่นายมาลัยอยู่นั้น ถ้ามีเงินเหลืออีกให้คืนให้โจทย์ บัดนี้นายมาลัยขายนาหมดได้เงิน ๓๔๖๓๕ บาท ๘ สตางค์ หักเงินที่นายมาลัยออกไปกับเงินที่หลวงวรากรฯ นางทองดีเปนณี่นายมาลัยอยู่ ๖๖๘๖ บาทออกแล้ว คงมีเงินเหลืออยู่อีก ๑๕๑๔๒ บาท ๘ สตางค์ นายมาลัยยังหาได้คืนให้โจทย์ไม่ ต่อมานายมาลัยตาย จำเลยเปนผู้จัดการมรฎกของนายมาลัยไม่ยอมใช้เงินรายนี้ให้โจทย์ โจทย์จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ใช้เงิน ๑๕๑๔๒ บาท ๘ สตางค์ กับดอกเบี้ยอีก ๓๓๐๖ บาท ๑๘ สตางค์ให้แก่โจทย์ กับดอกเบี้ยอีกต่อ ๆ ไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ ๆ
จำเลยให้การว่า นายมาลัยไม่ได้เกี่ยวข้องทำสัญญาให้โจทย์ แลถึงแม้ว่าจะทำให้โจทย์จริง สัญญานั้นก็มีสินจ้างฝ่ายเดียว โจทย์จะฟ้องร้องไม่ได้ ฯ
สัญญาที่เปนปัญหาโต้เถียงกันระหว่างโจทย์จำเลยมีดังนี้ คือ –
“วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ส่วนนายมาลัยเปนผู้รับซื้อจากศาลขายทอดตลาดที่ดินรายนี้ได้ออกเงินไปกับค่าความหลวง
วรากรราชกิจ ทองดีภรรยา แพ้คดีที่ ๒๓๗/๒๔๕๗ รวมเปนเงิน……บาท เมื่อขายที่ดินได้เงินครบจำนวนที่กล่าวแล้วนี้ คดีเปนอันเลิกแล้วกัน แลยอมคืนที่ดินที่เหลืออยู่ให้ข้าพเจ้านายเกาะทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องอีกต่อไป ทั้ง ๒ ฝ่ายได้เซ็นชื่อให้ไว้ต่อหน้าพยานเปนสำคัญ ” (ลงนาม) นายมาลัย แลนายเกาะได้ลงชื่อไว้ในตอนท้ายด้วยดังนี้ “นายเกาะพยานผู้เขียนด้วย”
ฎีกาตัดสินว่า สัญญาฉบับนี้แม้จะมีชื่อนายมาลัยกับโจทย์ด้วยกันก็ดี ข้อความตามหนังสือนั้นก็เลื่อนลอย เช่น ไม่มีจำนวนเงินเปนต้น แม้ว่าจะฟังหนังสือฉบับนี้ว่าเปน สัญญาก็เปนสัญญาที่มีสินจ้างฝ่ายเดียว นอกจากนี้ตามข้อความซึ่งโจทย์อ้างว่า ได้ตกลงกับนายมาลัยโดยตนเองไม่ออกหน้า ให้นายมาลัยเปนผู้ไปรับซื้อที่ดินของตนซึ่งถูกยึดเพื่อเอาไปขายหากำไรอีกต่อหนึ่ง โดยไม่รำพึงถึงประโยชน์ของเจ้าณี่ตนผู้ชนะความ ถ้าจะว่าเปนสัญญาก็เปนสัญญาอยู่ในจำพวกที่ฝ่าฝืนต่อรัฐประสาสโนบาย ไม่ควรได้รับความอุดหนุนของศาลยุติธรรม. จึงให้ยกฟ้องโจทย์