แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยปลอมและใช้ใบถอนเงินฝากปลอม กับปลอมและใช้สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากปลอมถอนเงินเกินกว่าจำนวนที่จำเลยได้รับมอบฉันทะแล้วยักยอกเอาเงินส่วนที่เกินไป ก็เพื่อเจตนาจะยักยอกเงินส่วนที่เกินจากธนาคารและแสดงต่อผู้เสียหายนั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลอมใบถอนเงินฝากบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาย่อยเกาะพงัน อันเป็นเอกสารสิทธิ ซึ่งสำนักงานสุขาภิบาลเกาะพงันผู้เสียหายมอบฉันทะให้จำเลยนำไปเบิกถอนเงิน โดยจำเลยกรอกข้อความแก้ไขเพิ่มเติมบางส่วนว่า “ขอถอนเงินฝากจำนวนหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นแปดพันสี่ร้อยหกสิบห้าบาทถ้วน – ๑๗๘,๔๖๕ บาท” ซึ่งความจริงแล้วผู้เสียหายมอบฉันทะให้จำเลยถอนเงินเพียง ๘,๔๖๕ บาท และจำเลยใช้เอกสารดังกล่าวแสดงต่อพนักงานของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาย่อยเกาะพงัน เพื่อขอเบิกเงิน ๑๗๘,๔๖๕ บาท หลังจากนั้นจำเลยปลอมสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝาก อันเป็นเอกสารสิทธิซึ่งธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาย่อยเกาะพงัน ได้มอบให้ผู้เสียหายไว้ โดยกรอกข้อความเพิ่มเติมบางส่วนในรายการบัญชี “ถอน – ๑๗๘,๔๖๕.๐๐ บาท คงเหลือ ๔๐๙,๘๘๘.๐๐ บาท” และใช้สมุดคู่ฝากบัญชีดังกล่าวแสดงต่อผู้เสียหาย แล้วจำเลยได้เบียดบังเงินจำนวน ๑๗๐,๐๐๐ บาท ของผู้เสียหายเป็นของตนโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ ,๒๖๕ , ๒๖๘ , ๓๕๒ , ๙๑
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕ , ๒๖๘ , ๓๕๒ วรรคแรก จำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานใช้ใบถอนเงินฝากปลอม จำคุก ๑ ปี ฐานใช้สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากปลอม จำคุก ๑ ปี ฐานยักยอก จำคุก ๑ ปี รวมจำคุก ๓ ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยปลอมใบถอนเงินฝากแล้วนำไปใช้แสดงต่อธนาคารเพื่อถอนเงินเกินกว่าที่ตนได้รับมอบฉันทะ แล้วยักยอกเอาเงินของผู้เสียหายส่วนที่เกินไปนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรง แม้จะปรากฏว่าจำเลยชดใช้เงินให้ผู้เสียหายเต็มจำนวนที่ยักยอกไปก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้ ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การที่จำเลยปลอมและใช้ใบถอนเงินฝากปลอม กับปลอมและใช้สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากปลอมก็เพื่อเจตนาที่จะยักยอกเงินจำนวน ๑๗๐,๐๐๐ บาท ของผู้เสียหายนั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยมา ๓ กระทงนั้น ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและบางบทมีโทษเท่ากัน เห็นสมควรลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๕ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุก ๑ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๖ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘.