คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2851/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยซึ่งอยู่ทาง ด้านทิศใต้ให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาและบอกเลิกสัญญา โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายและค่ามัดจำคืนจากจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดไปแล้ว แม้โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกโดยอ้างสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดียวกันกันที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีก่อนก็ตาม แต่โจทก์ก็อ้างเหตุที่ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทในคดีนี้ว่า หลังจากคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว น.ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลขอให้บังคับจำเลยยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ทำการรังวัดและจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวนครึ่งแปลงให้เป็นกรรมสิทธิ์ของน. และ พ. ซึ่งต่อมาปรากฏว่าจำเลยกับ น. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ตกลงจะทำการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันให้ที่ดินครึ่งแปลงทางด้านทิศเหนือเป็นส่วนของน. และ พ. และให้ที่ดินทางด้านทิศใต้เป็นส่วนของจำเลยเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินตามคำสั่งศาลผลการรังวัดสามารถคำนวณเนื้อที่ดินพิพาททั้งแปลงได้แล้วทำให้โจทก์กับจำเลยทราบจำนวนเนื้อที่ดินซึ่งจำเลยตกลงขายให้แก่โจทก์แน่นอนและสามารถคำนวณเงินราคาที่ดินตามจำนวนเนื้อที่ดินที่แน่นอน โจทก์จึงบอกกล่าวถึงจำเลยอีกครั้งหนึ่ง และขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินส่วนซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้โจทก์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับคดีก่อนที่โจทก์อ้างเหตุ ในการขอเลิกสัญญาแก่จำเลยว่าจำเลยไม่ทำการรังวัดแบ่งแยก กรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้ทราบจำนวนเนื้อที่ดินที่แน่นอนโจทก์ จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ดังนั้น เมื่อประเด็นของคดีเดิมและคดีนี้ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ คดีก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เลิกกัน และการ ที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยทุกส่วน มิใช่ผูกพันเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งเมื่อคำพิพากษาผูกพันโจทก์จำเลยและต้องถือว่า สัญญาจะซื้อจะขายยังไม่เลิกกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติ ตามสัญญาได้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามต้องถือว่าจำเลย เป็นฝ่ายผิดสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 831 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน15 ตารางวา มีจำเลยกับนายนิยม พานโพ่ง เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ประมาณ3 ไร่เศษ ให้โจทก์ในราคาไร่ละ 350,000 บาท โจทก์ชำระเงินมัดจำจำนวน 200,000 บาท โดยตกลงจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อเมื่อมีการรังวัดสอบเขตให้ทราบจำนวนเนื้อที่ดินแน่นอนเพื่อที่จะคำนวณราคาที่ดินกันก่อน ทั้งนี้จำเลยจะต้องเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของจำเลย มีข้อตกลงว่าหากโจทก์ผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนรับโอนที่พิพาทยอมให้จำเลยริบเงินมัดจำจำนวน 200,000 บาท ถ้าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยยอมให้โจทก์ฟ้องคดีเพื่อบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้โจทก์และยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2 เท่าของราคาที่ดินที่ตกลงซื้อขายกัน หลังจากนั้นจำเลยกับนายนิยมร่วมกันยื่นคำร้องเพื่อรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินกันคนละครึ่ง แต่เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินสาธารณประโยชน์ชื่อ “ดอนยางแย้” กำนันเจ้าของท้องที่แจ้งว่ายังไม่ทราบเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ดอนย่างแย้แน่นอนจึงไม่ยอมรับรองแนวเขตที่ดินให้ ในที่สุดนายนิยมขอให้เจ้าพนักงานที่ดินยกเลิกการรังวัด โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแล้วฟ้องจำเลยขอเรียกเงินมัดจำคืนและค่าเสียหาย แต่ในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าที่แบ่งแยกที่ดินไม่ได้ไม่ใช่ความผิดของจำเลย โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญามิชอบ สัญญาจะซื้อจะขายยังไม่เลิกกันซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมานายนิยมเป็นของโจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม และศาลมีคำพิพากษาให้แบ่งที่ดินตามที่นายนิยมและจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเจ้าพนักงานที่ดินไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวปรากฏว่าที่ดินทางด้านทิศใต้เป็นของจำเลยเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน53 ตารางวา ดังนั้น ที่ดินของจำเลยที่ขายให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นเงินทั้งสิ้น 1,271,375 บาท โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำจำนวน 200,000 บาท จึงเหลือเงินที่โจทก์จะต้องชำระราคาที่ดินเพียง 1,071,375 บาท โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวจำเลยให้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินของจำเลยให้แก่โจทก์และรับเงินราคาที่ดินจากโจทก์ภายใน 7 วัน และจำเลยได้รับหนังสือแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์เสียหายจึงขอเรียกค่าเสียหายตามสัญญาซึ่งกำหนดเป็นเงิน 2 เท่า ของราคาที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันเป็นเงินจำนวน2,542,750 บาท แต่โจทก์ขอเป็นเงินเพียง 200,000 บาท เท่านั้นขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินและยื่นเรื่องราวจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 831 หรือที่ดินตามโฉนดที่ดินฉบับและเลขที่ใหม่ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจะออกโฉนดที่ดินให้ใหม่เนื่องจากการรังวัดและจดทะเบียนแบ่งแยกเฉพาะส่วนซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยจำนวนเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวา ราคาทั้งสิ้น1,271,375 บาท ให้แก่โจทก์และรับเงินราคาที่ดินซึ่งค้างชำระอีกเป็นเงินจำนวน 1,071,375 บาท ไปจากโจทก์ หากจำเลยไม่ได้ดำเนินการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้หักกลบลบหนี้กับเงินราคาที่ดินซึ่งโจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว โดยโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายและเรียกมัดจำคืนจากจำเลยด้วย ในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของจำเลย ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะมาเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้อีกต่อไป การที่โจทก์นำคดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วมาฟ้องร้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาใหม่อีกจึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 831 เฉพาะส่วนของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวา ให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินจำนวน 1,071,375 บาท ให้แก่จำเลย หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้นำเงินค่าเสียหายเฉพาะจำนวน 5,000 บาท มาหักกลบลบหนี้กับราคาที่ดินที่โจทก์ต้องชำระให้จำเลย คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยและนายนิยม พานโพ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 831 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 15 ตารางวา จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ประมาณ 3 ไร่เศษ ให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาและบอกเลิกสัญญา โดยโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายและค่ามัดจำคืนจากจำเลย ในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2947/2537 ของศาลอุทธรณ์คดีถึงที่สุดเพราะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฎีกา
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1151/2535 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะอ้างสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.3ฉบับเดียวกัน แต่โจทก์ก็อ้างเหตุที่ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ว่า หลังจากคดีหมายเลขแดงที่ 1151/2535 ถึงที่สุดแล้วนายนิยมได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นขอให้บังคับจำเลยยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ทำการรังวัดและจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวทางด้านทิศเหนือจำนวนครึ่งแปลงให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายนิยมและนายพิทยา สุพรธาดาซึ่งต่อมาปรากฏว่าจำเลยกับนายนิยมได้ขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล โดยตกลงจะทำการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันให้ที่ดินครึ่งแปลงทางด้านทิศเหนือเป็นส่วนของนายนิยมและนายพิทยาและให้ที่ดินทางด้านทิศใต้เป็นส่วนของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรีไปทำการรังวัดที่ดินตามคำสั่งศาล ปรากฏผลจากการรังวัดว่า คำนวณเนื้อที่ดินโฉนดเลขที 831 ทั้งแปลงได้จำนวน7 ไร่ 1 งาน 6 ตารางวา เป็นส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย 3 ไร่2 งาน 53 ตารางวา ตามสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 650/2537 หมายเลขแดงที่ 108/2538 ของศาลชั้นต้น ทำให้โจทก์กับจำเลยทราบจำนวนเนื้อที่ดินซึ่งจำเลยตกลงขายให้แก่โจทก์แน่นอนแล้ว และสามารถคำนวณเงินราคาที่ดินตามจำนวนเนื้อที่ดินที่แน่นอน โจทก์ทำหนังสือบอกกล่าวถึงจำเลยอีกครั้งเพื่อแจ้งให้จำเลยทราบ ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินส่วนซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยดังกล่าวให้โจทก์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับคดีหมายเลขแดงที่ 1151/2535 ที่โจทก์อ้างเหตุที่ขอเลิกสัญญาแก่จำเลยว่า จำเลยไม่ทำการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้ทราบจำนวนเนื้อที่ดินที่แน่นอนโจทก์เห็นว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาจึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยดังนั้นประเด็นของคดีเดิมและคดีนี้จึงต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุต่างกันดังกล่าว ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องในคดีหมายเลขแดงที่ 1151/2535 ของศาลชั้นต้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ผลของคำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์และจำเลย ส่วนคำวินิจฉัยที่ว่า สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เลิกกัน และการที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นการไม่ชอบข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลยเพราะไม่ใช่คำวินิจฉัยในประเด็นโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์นั้นเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก มีสาระสำคัญว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งนับแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี ดังนั้น คำพิพากษาซึ่งถึงทีสุดแล้วจึงย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยทุกส่วน มิใช่ผูกพันเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง และเมื่อคำพิพากษาผูกพันโจทก์จำเลยดังกล่าวต้องถือว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์เป็นการไม่ชอบ สัญญาจะซื้อจะขายยังไม่เลิกกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
พิพากษายืน

Share