คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์คลอดบุตรผู้เยาว์แล้วได้เลี้ยงดูด้วยตนเองตลอดมา ต่อมาโจทก์ไม่อาจทนอยู่กับจำเลยที่บ้านจำเลยได้ ต้องกลับไปอยู่บ้านบิดามารดาโจทก์ โจทก์ก็นำบุตรผู้เยาว์ไปเลี้ยงดูด้วย แม้บิดาจำเลยไปหลอกนำบุตรผู้เยาว์กลับมาที่บ้านจำเลย โจทก์เพียรพยายามขอพบบุตรผู้เยาว์ แต่ถูกกีดกันไม่ให้พบ โจทก์ยังคงห่วงใยและมีความรักบุตรผู้เยาว์แม้ถูกฝ่ายจำเลยพรากไป ทั้งโจทก์มีรายได้สามารถอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ด้วยตนเองโดยปราศจากความช่วยเหลือของจำเลย ส่วนจำเลยเมื่อบิดาจำเลยนำบุตรผู้เยาว์กลับมา จำเลยและบิดามารดาจำเลยไม่อาจเลี้ยงดูได้เพราะต้องไปทำงานทุกคน ต้องให้ญาติฝ่ายบิดาจำเลยเลี้ยงบุตรผู้เยาว์ตลอดมาจนถึงวัยเรียน และจำเลยมีรายได้น้อย ยังต้องพึ่งพาบิดามารดาจำเลยอยู่ ไม่อาจเลี้ยงดูบุตรภริยาได้ โจทก์จึงสมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตร1 คน คือ เด็กชาย อ. อายุ 6 เดือน ระหว่างอยู่กินด้วยกันจำเลยชอบเที่ยวเตร่และดื่มสุราเป็นอาจิณ เมื่อเมาสุราแล้วจะดุด่าและทำร้ายร่างกายโจทก์ ไม่รับผิดชอบในครอบครัวต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงจะหย่าขาดจากกัน แต่จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย อ. บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำร้ายร่างกายโจทก์ จำเลยยินดีหย่าขาดจากโจทก์แต่โจทก์ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร เพราะโจทก์ไม่มีอาชีพและไม่มีรายได้พอจะเลี้ยงดูบุตรให้มีความสุขได้ ส่วนจำเลยมีอาชีพและรายได้เพียงพอ และเพื่อความสุขของบุตรที่จะมีทั้งบิดามารดา จึงสมควรให้จำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุตรและให้โจทก์กับจำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรร่วมกัน

ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความแถลงร่วมกันว่า ประสงค์จะหย่าขาดจากกัน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย อ. แต่ผู้เดียว

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบรับและไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นภริยาจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน1 คน คือเด็กชาย อ. ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2541 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีเพียงว่า โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย อ. ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า โจทก์รู้จักกับจำเลยตั้งแต่ปี 2540 ขณะนั้นโจทก์ยังเรียนหนังสือที่โรงเรียนกุมภวาปี ชั้นมัธยมปีที่ 5 ส่วนจำเลยทำงานแล้ว ต่อมาโจทก์กับจำเลยได้ร่วมหลับนอนกันจนโจทก์ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 5 เดือน โดยบิดามารดาโจทก์ไม่ทราบเรื่อง แต่บิดามารดาจำเลยทราบว่าโจทก์กำลังตั้งครรภ์ นางวราลักษณ์ นิยมพันธุ์ มารดาจำเลยจึงให้เงินโจทก์จำนวน 2,000 บาท เพื่อให้โจทก์ไปทำแท้ง แต่โจทก์ไม่ยอมทำแท้งจนกระทั่งโจทก์ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 7 เดือน บิดามารดาโจทก์จึงทราบเรื่องและประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลย ภายหลังมีการเจรจากันโดยให้โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้วโจทก์ได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านจำเลยซึ่งมีบิดามารดาจำเลยอยู่ด้วย ระหว่างที่โจทก์อยู่กินกับจำเลยนั้นจำเลยให้เงินโจทก์ใช้จ่ายเพียงเดือนละ 300 บาท โดยจำเลยทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่เทศบาลตำบลกุมภวาปี ได้รับเงินเดือนประมาณเดือนละ 4,100 บาทจำเลยต้องนำเงินไปใช้หนี้มารดาจำเลยเดือนละ 1,500 บาท เงินส่วนที่เหลือจำเลยนำไปใช้จ่ายเที่ยวดื่มเหล้ากับเพื่อน โจทก์มีเงินไม่พอใช้จ่ายจึงต้องขอเงินจากบิดามาดาโจทก์ประมาณเดือนละ 2,000 บาท มาเป็นค่าใช้จ่าย เมื่อโจทก์คลอดเด็กชาย อ. แล้วจำเลยยังคงเที่ยวเตร่ดื่มสุราเป็นอาจิณและกลับบ้านดึกไม่เป็นเวลา ส่วนบิดามารดาของจำเลยก็ไม่ชอบโจทก์ โดยมารดาจำเลยด่าโจทก์ว่าเป็นไปเพิ่มภาระสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของจำเลย ประมาณปลายเดือนมีนาคม 2542 จำเลยรับเงินเดือนมาแล้วก็ไปเที่ยวเตร่โดยเมาสุรากลับมาถึงบ้านเมื่อเวลา 3 นาฬิกา แล้วขอร่วมหลับนอนกับโจทก์โจทก์ไม่ยินยอมทำให้จำเลยไม่พอใจจึงทะเลาะมีปากเสียงกัน รุ่งเช้าโจทก์จึงนำบุตรผู้เยาว์กลับไปพักอยู่กับบิดามารดาโจทก์ หลังจากนั้น 3 วัน บิดาจำเลยมาขอรับบุตรผู้เยาว์ไปนั่งรถเที่ยวแล้วไม่นำมาส่งคืนโจทก์ ทั้งยังกีดกันไม่ให้โจทก์พบกับบุตรผู้เยาว์ปัจจุบันโจทก์ทำงานเป็นผู้ช่วยเภสัชกรได้รับเงินเดือน 5,000 บาท ส่วนบิดามารดาโจทก์มีฐานะดี และมีเรือกสวนไร่หลายแปลง โดยโจทก์สามารถเลี้ยงบุตรผู้เยาว์ได้ เห็นว่าขณะที่โจทก์ตั้งครรภ์นั้นโจทก์กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ การที่โจทก์ไม่ยอมไปทำแท้งก็ดีและโจทก์ได้ลาออกจากโรงเรียนก็ดี บ่งแสดงว่าโจทก์มีความรักทารกในครรภ์ประสงค์ที่จะให้ทารกซึ่งจะคลอดออกมามีพร้อมทั้งบิดามารดาจึงยอมเสียอนาคตทางการศึกษาโดยลาออกมาอยู่กินกับจำเลย และเมื่อโจทก์คลอดบุตรผู้เยาว์แล้ว ก็ได้เลี้ยงดูด้วยตนเองตลอดมาโดยมิได้ทอดทิ้ง ซึ่งน่าเชื่อว่าที่โจทก์ต้องทนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับบิดามารดาจำเลย ทั้งที่ทราบดีว่ามารดาจำเลยไม่พอใจในตัวโจทก์ และไม่ประสงค์ให้โจทก์อยู่ด้วยก็เพื่อให้บุตรผู้เยาว์ได้รับความอบอุ่นและได้รับการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจากบิดามารดาแม้ต่อมาเมื่อโจทก์ไม่อาจทนอยู่กับจำเลยได้อีกต่อไปต้องกลับไปอยู่ที่บ้านบิดามารดาโจทก์ โจทก์ก็นำบุตรผู้เยาว์ไปเลี้ยงดูด้วยแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความรัก ความผูกพันห่วงหาอาทร และต้องการจะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เท่านั้นโดยไม่หวังความสุขในชีวิตสมรสอีกต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวของโจทก์หาใช่เรื่องที่โจทก์นำมาเป็นข้อต่อรองเพื่อให้จำเลยกลับไปอยู่กินกับโจทก์ดังข้อฎีกาของจำเลยไม่ เพราะหากโจทก์มีความประสงค์เช่นนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่โจทก์จะต้องฟ้องขอหย่าขาดจากจำเลย อีกทั้งโจทก์ไม่ได้เรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์จากจำเลยแต่ประการใดเลย บ่งชัดว่าโจทก์สามารถอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ด้วยตนเองโดยปราศจากความช่วยเหลือของจำเลยนอกจากนี้ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยรับกันว่า นับแต่บิดาจำเลยไปนำบุตรผู้เยาว์กลับมาที่บ้านจำเลยแล้ว โจทก์ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์เลย ซึ่งโจทก์ยังคงห่วงใยในตัวบุตรผู้เยาว์แม้จะถูกฝ่ายจำเลยพรากไป โดยเมื่อจำเลยนำบุตรผู้เยาว์ไปรับการฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลโจทก์ได้ติดตามมาดูแลจนเกิดการยื้อแย่งบุตรผู้เยาว์กันขึ้น ซึ่งจำเลยใช้กำลังตบหน้าโจทก์ โจทก์จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้ไกล่เกลี่ยให้โจทก์จำเลยตกลงกัน โดยทำบันทึกข้อตกลงว่าให้โจทก์เป็นผู้เลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ในระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ส่วนจำเลยดูแลในวันหยุดราชการแต่จำเลยกลับมิได้ทำตามข้อตกลง โดยไม่ยอมให้บุตรผู้เยาว์มาพบโจทก์ จากพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่า แม้โจทก์ถูกกีดกันไม่ให้พบบุตรผู้เยาว์ แต่โจทก์ยังมิได้ละความพยายามแต่อย่างใดโดยเพียรพยายามมาขอพบบุตรผู้เยาว์ และยอมอะลุ้มอล่วยทุกวิถีทางเพียงเพื่อได้ดูแลบุตรผู้เยาว์เท่านั้น บ่งแสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่โจทก์มีต่อบุตรผู้เยาว์ ซึ่งต่างไปจากพฤติการณ์ของจำเลยอย่างยิ่ง โดยจำเลยรับว่า เมื่อบิดาจำเลยนำบุตรผู้เยาว์กลับมา จำเลยและบิดามารดาไม่อาจเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้เพราะต้องไปทำงานทุกคน จึงให้ญาติฝ่ายบิดาเลี้ยงบุตรผู้เยาว์ตลอดมาจนถึงวัยเรียน อีกทั้งจำเลยก็ยอมรับว่าจำเลยมีรายได้น้อยยังต้องพึ่งพาบิดามารดาอยู่ไม่อาจเลี้ยงดูบุตรภริยาได้ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยไม่มีความสามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตนเองโดยปราศจากความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากบิดามารดาของจำเลย ดังนั้น เมื่อจำเลยเองยังไม่สามารถช่วยเหลือปกครองดูแลชีวิตของตนเองได้เช่นนี้จำเลยจะใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ได้อย่างไรที่ศาลล่างทั้งสองให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share