คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะทำสัญญากับจำเลย ภ. ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ คือโจทก์ ซึ่งมีฐานะเป็นกรมในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี การลงนามในสัญญาดังกล่าวเป็นการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนและตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการของโจทก์ ดังนี้ถือได้ว่า ภ. ได้กระทำการไปในฐานะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์มีอำนาจลงนามในสัญญาแทนโจทก์ได้โดยชอบ โดยไม่จำต้องมีการมอบอำนาจเพื่อการนี้อีก
เงินทุนมูลนิธิฟอร์ดมอบให้แก่รัฐบาลไทยเพื่อเป็นการช่วยเหลือในการจัดส่งข้าราชการไปศึกษาอบรมและฝึกงาน ณ ต่างประเทศเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการไทยเมื่อโจทก์ติดต่อจนได้รับทุนมาแล้วได้จัดส่งจำเลยที่ 1 ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ โดยโจทก์จำเลยทำสัญญากันว่า เมื่อเสร็จการศึกษาแล้วจำเลยที่ 1 จะต้องกลับมารับราชการในสังกัดโจทก์ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของสัญญาที่ทำกันไว้หาได้ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามข้อสัญญาที่ทำไว้
จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินเดือนที่ได้รับไปจากโจทก์พร้อมด้วยเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของเงินเดือนคืนให้แก่โจทก์ อันเป็นการบรรเทาความเสียหายให้แก่โจทก์ส่วนหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นแต่เพียงผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาของจำเลยที่ 1 และประโยชน์อันจะพึงมีแก่โจทก์โดยส่วนรวมแต่ถ่ายเดียว จึงมีเหตุผลที่ควรได้รับความเห็นใจ เห็นได้ว่าในกรณีเช่นนี้การคิดเอาเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 2 อีกเท่าหนึ่งของจำนวนเงินทุนที่ต้องชดใช้คืนน่าจะสูงเกินส่วน สมควรลดเบี้ยปรับเฉพาะส่วนนี้ลงกึ่งหนึ่ง
จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันฎีกาขอให้ลดจำนวนเบี้ยปรับแต่เพียงผู้เดียวเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดเบี้ยปรับและกรณีเป็นหนี้ร่วมกันจะแบ่งแยกมิได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ รับราชเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโท ได้รับทุนมูลนิธิฟอร์ดจากการอนุมัติของโจทก์ให้ไปศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากับโจทก์ว่า เมื่อเสร็จการศึกษาหรือถูกเรียกตัวกลับจะต้องรับราชการในสังกัดโจทก์ฯ หากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจำเลยที่ ๑ ยอมชดใช้คืนเงินทุนเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มหรือเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่จำเลยที่ ๑ ได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาหรือฝึกอบรมแก่โจทก์ กับยอมจ่ายเงินเป็นเบี้ยปรับแก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่งเท่ากับเงินที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชดใช้คืน จำเลยที่ ๒ ได้เข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ในกรณีที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจำเลยที่ ๑ ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่กลับมารับราชการและยื่นใบลาออกจากราชการโดยยอมใช้เงินเดือนที่ได้รับไประหว่างศึกษาพร้อมเบี้ยปรับแก่โจทก์แล้ว แต่เงินทุนมูลนิธิฟอร์ดของรัฐบาลไทยจำนวน ๒๔,๑๖๖.๙๕ เหรียญสหรัฐกับเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าคิดเป็นเงินไทย ๙๘๘,๔๒๘.๒๖ บาท จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมชดใช้คืน ขอให้ศาลพิพากษาและบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินที่จำเลยที่ ๑ ได้รับจากมูลนิธิฟอร์ดมาเป็นของโจทก์ เพราะเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยไม่ชอบ สัญญาท้ายฟ้องขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ ผู้ลงนามในสัญญาไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกหนี้และจำเลยที่ ๒ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระเงิน ๑,๓๔๐,๙๖๗.๖๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า มูลนิธิฟอร์ดได้เสนอให้เงินทุนแก่รัฐบาลไทยเพื่อส่งข้าราชการไปศึกษาในต่างประเทศ รัฐบาลไทยโดยกรมวิเทศสหการเป็นผู้สนองรับทุนดังกล่าว โจทก์มีหนังสือถึงสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อติดต่อผ่านกรมวิเทศสหการขอรับทุนมูลนิธิฟอร์ด และได้ติดต่อโดยตรงกับมูลนิธิฟอร์ด เมื่อได้รับทุนแล้วโจทก์ได้ทำการคัดเลือกข้าราชการตามวิธีการและระเบียบที่โจทก์วางไว้ จำเลยที่ ๑ ข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทในสังกัดโจทก์เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกและได้รับทุนดังกล่าวไปศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ และเป็นผู้อนุมัติให้จำเลยที่ ๑ ลาไปเพื่อการศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อการนี้ จำเลยที่ ๑ ได้ยอมตนเป็นคู่สัญญากับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ เข้าทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ได้รับเงินทุนมูลนิธิฟอร์ดเพื่อการศึกษาเป็นเวลา ๓ ปี สำเร็จการศึกษาแล้วขอลาศึกษาและฝึกงานต่ออีก ๑ ปี รวมเวลาที่ไปศึกษาและฝึกงานเป็นเวลา๔ ปี แล้วไม่ยอมกลับ ได้ขอลาออกจากราชการและได้ส่งเงินเดือนที่รับไปจากโจทก์ ๔ ปี พร้อมเบี้ยปรับ ๑ เท่าของเงินเดือนคืนให้แก่โจทก์แล้ว ส่วนเงินทุนมูลนิธิฟอร์ดที่ได้รับไปยังไม่ได้ใช้คืน
ประเด็นแรกในข้อที่ว่า นายภุชงค์จะมีอำนาจลงนามเป็นคู่สัญญาตามเอกสารหมาย จ.๔ แทนโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่มีการทำสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๔ นายภุชงค์ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งต่อมาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๖ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานสภาการศึกษาแห่งชาติเป็นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติคือโจทก์ ซึ่งมีฐานะเป็นกรมในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และทางนำสืบของโจทก์รับฟังได้ต่อไปว่าการลงนามในสัญญาเอกสารหมาย จ.๔นายภุชงค์ได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนและตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการของโจทก์ เห็นว่า นายภุชงค์ได้กระทำการไปในฐานะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ จึงมีอำนาจในการลงนามในสัญญาเอกสารหมาย จ.๔ แทนโจทก์ได้โดยชอบ โดยไม่จำต้องมีการมอบอำนาจเพื่อการนี้ให้เป็นการซ้ำซ้อนอีก
ข้อฎีกาจำเลยที่ ๒ ที่ว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินทุนจากมูลนิธิฟอร์ดโดยตรง ไม่ได้รับจากรัฐบาลไทย โจทก์ไม่ชอบที่จะแสวงหาประโยชน์จากเงินของผู้อื่น ทั้งขัดกับเจตนารมณ์ของเจ้าของเงินทุนซึ่งไม่ประสงค์ที่จะเรียกเงินคืน สัญญาเอกสารหมาย จ.๔ เป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ในข้อนี้ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเงินทุนดังกล่าวมูลนิธิฟอร์ดมีเจตจำนงที่จะมอบให้แก่รัฐบาลไทย เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการจัดส่งข้าราชการไปศึกษาอบรมและฝึกงาน ณ ต่างประเทศ เพื่อประโยชน์แก่ราชการไทยซึ่งทางรัฐบาลไทยโดยโจทก์เป็นผู้ติดต่อ และเมื่อได้รับทุนมาแล้วได้จัดส่งจำเลยที่ ๑ ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ เพื่อยังประโยชน์แก่ราชการของโจทก์ โดยทุนดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ผู้ได้รับก็ได้ตกลงยอมรับที่จะปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ให้ไว้แก่โจทก์ ซึ่งวัตถุประสงค์ของสัญญาที่ทำกันไว้ก็หาได้ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงต้องผูกพันตามข้อสัญญาที่ทำไว้ เมื่อจำเลยที่ ๑ ประพฤติผิดสัญญาไม่ยอมกลับมารับราชการในสังกัดโจทก์ ทำให้ราชการของโจทก์ต้องเสียหายประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการส่งจำเลยที่ ๑ ไปศึกษาต้องสูญไป ข้ออ้างฎีกาจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวไม่เป็นเหตุอันควรแก่การรับฟัง
ในเรื่องจำนวนเบี้ยปรับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ได้ชำระเงินเดือนที่รับไปจากโจทก์ ๔ ปี พร้อมเบี้ยปรับอีก ๑ เท่าของเงินเดือนคืนให้แก่โจทก์อันเป็นการบรรเทาความเสียหายแก่โจทก์ส่วนหนึ่งแล้ว และเมื่อคำนึงถึงว่าจำเลยที่ ๒ เป็นแต่เพียงผู้ค้ำประกันมิใช่ผู้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์โดยตรง การที่จำเลยที่ ๒ ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ก็เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาของจำเลยที่ ๑ และประโยชน์อันจะพึงมีแก่โจทก์โดยส่วนรวมแต่ฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๒ มิได้รับประโยชน์ด้วย เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ผิดสัญญาจึงมีเหตุผลที่ควรได้รับความเห็นใจ เมื่อพิจารณาเหตุดังกล่าวประกอบกันแล้วศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่จำเลยที่ ๒ จะต้องชดใช้เงินให้แก่โจทก์โดยผู้อื่นเป็นต้นเหตุเช่นนี้ การคิดเอาเบี้ยปรับอีกเท่าหนึ่งของจำนวนเงินทุนที่ต้องชดใช้คืนนั้นเห็นว่าน่าจะสูงเกินส่วน สมควรลดเบี้ยปรับเฉพาะส่วนนี้ลงกึ่งหนึ่งแม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ฎีกาโดยจำเลยที่ ๒ ผู้เดียวฎีกา ก็เป็นหนี้ร่วมกันจะแบ่งแยกมิได้จำเลยที่ ๑ ย่อมได้รับผลเป็นคุณด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกหนี้ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกัน ชำระเงิน ๗๔๑,๓๒๑ บาท ๙ สตางค์ แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share