แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา157นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคนแม้ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่1ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาก็ไม่มีผลถึงจำเลยที่2ด้วยแต่อย่างใด ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้องฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาจะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้องกับการวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้นเป็นเงินคนละส่วนกัน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 3,373,000.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองต่างอุทธรณ์ และจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 นำค่าธรรมเนียมและค่าทนายความที่ต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลภายใน 7 วัน จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดร่วมกัน จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันซึ่งต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงร่วมกัน หากศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ไม่จำต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความซึ่งต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาล ขอให้มีคำสั่งให้งดการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งในคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 จำเลยที่ 2 ผู้ยื่นอุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมและค่าทนายความใช้แทนโจทก์มาชำระด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์และขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลยังไม่อนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา เพราะอยู่ระหว่างไต่สวนคำร้องจึงยังไม่แน่ว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์ คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อแรกว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกันที่จะต้องช่วยกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมกับขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องนัดไต่สวนคำร้องแล้ว หากศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา จำเลยที่ 2 ก็ได้รับผลจากคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาด้วยนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 157 บัญญัติว่า “เมื่อศาลอนุญาตให้บุคคลใดฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างคนอนาถา บุคคลนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้น ค่าธรรมเนียมเช่นว่านี้ให้รวมถึงเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา”บทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลรวมทั้งเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยแต่ละคน แม้ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาก็ไม่มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วยแต่อย่างใด
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ได้อุทธรณ์เฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานจำเลยที่ 2 จึงต้องเสียเฉพาะค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาจะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้อง ส่วนการวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ได้บัญญัติว่าการอุทธรณ์นั้น ฯลฯ และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ฯลฯ จึงเห็นได้ว่า เงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา กับเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่จำเลยนำมาวางศาลในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้นเป็นเงินคนละส่วนกัน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 2ที่ขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 งดการวางเงินค่าธรรมเนียมและค่าทนายความซึ่งต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจนกว่าศาลจะมีคำสั่งคำร้องขอดำเนินดีอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน