คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8176/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่การเงินการบัญชีผู้รับผิดชอบเก็บรักษาเงินต่าง ๆของสหกรณ์ออมทรัพย์โจทก์ร่วม เมื่อคณะกรรมการของโจทก์ร่วมอนุมัติให้สมาชิกกู้เงินแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่สมาชิก หรือเงินกู้ ตามสัญญากู้ใหม่ซึ่งจะต้องหักเงินบางส่วนชำระหนี้เก่าที่ยังค้างชำระอยู่รวมทั้งเงินของสมาชิกผู้ขอลาออกจากสมาชิกโจทก์ร่วมซึ่งโจทก์ร่วมจะต้องหักเงินของสมาชิกใช้หนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนจะอนุมัติให้ลาออกเงินเหล่านี้ล้วนยังเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วมอยู่ กรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าวยังมิได้โอนไปยังสมาชิกของโจทก์ร่วมเพราะยังมิได้มีการส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่กันโดยชอบ เมื่อจำเลยยักยอกเงินดังกล่าวไป โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2531 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม2535 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงินและการบัญชีผู้รับผิดชอบเก็บรักษาเงินต่าง ๆ ของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจหนองคาย จำกัดผู้เสียหายได้เบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายที่จำเลยเก็บรักษาไว้ดังกล่าวไปเป็นของจำเลยโดยทุจริต จำนวน 2,540,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,540,000บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจหนองคาย จำกัดผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 2,540,000 บาทแก่โจทก์ร่วม

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน1,725,800 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่การเงินและการบัญชีของโจทก์ร่วมมีหน้าที่เก็บรักษาเงินต่อมาปรากฏว่าเงินของโจทก์ร่วมขาดหายไป โจทก์ร่วมจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2536

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นางสาวสุคนธ์ วัฒนบูรณาพันธ์ หัวหน้าสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์หนองคายซึ่งตรวจสอบบัญชีของโจทก์ร่วมได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่การเงินของโจทก์ร่วม จำเลยจึงเป็นผู้รู้เห็นและเป็นผู้ตั้งเรื่องให้คณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ร่วมเป็นผู้อนุมัติจ่ายเงินกู้ได้กระทำการบกพร่อง 4 ข้อ คือ 1. การจ่ายเงินกู้ให้แก่สมาชิกตามที่เจ้าหน้าที่บันทึกการจ่ายเงินออกไป แต่สมาชิกปฏิเสธการรับเงินกู้ 11 ราย เพราะสมาชิกดังกล่าวแจ้งว่าไม่ได้รับเงินกู้ รวมเป็นเงิน 652,000 บาท 2. สัญญากู้ที่ค้างยกมาจากปีก่อนที่ค้างอยู่ในบัญชีมีหนี้ค้างมากกว่า 1 สัญญา คือสัญญาเก่าที่ยังไม่ได้ชำระมี 67 ราย และสมาชิกปฏิเสธสัญญาเงินกู้รวมเป็นเงิน 912,700 บาท 3. มีหนี้ของสมาชิกตามสัญญาเงินกู้ค้างชำระ 19 รายแต่เป็นสมาชิกที่ได้ออกจากสหกรณ์แล้ว ซึ่งตามระเบียบการที่สมาชิกขอลาออกจะต้องชำระหนี้คืนให้โจทก์ร่วมเสร็จสิ้นเสียก่อนรวมเป็นเงิน161,100 บาท 4. หนี้ที่ไม่มีสัญญาเงินกู้ที่ตรวจพบเป็นเงิน 1,101,800 บาทแต่หนี้ในส่วนนี้จำเลยได้นำเงินมาชำระแล้วรวม 2 ครั้ง เป็นเงิน 300,000 บาทจึงเหลือหนี้ในส่วนนี้อีก 801,800 บาท นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายดาบตำรวจสัมพันธ์ ชาวนา นายดาบตำรวจโสภณ กิติกาญ ร้อยตำรวจตรีแปลง รัตนะจ่าสิบตำรวจปัญญา พรหมแดน รวมทั้งพยานอื่นอีกหลายปากเป็นพยานเบิกความสอดคล้องกับคำเบิกความของนางสาวสุคนธ์ว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเป็นสมาชิกของโจทก์ร่วมและเคยกู้เงินของโจทก์ร่วม เมื่อชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมแล้ว ต่อมาได้ติดต่อขอกู้เงินของโจทก์ร่วมโดยติดต่อผ่านทางจำเลยเนื่องจากจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่โดยตรงของโจทก์ร่วมได้มีการเขียนคำขอกู้และหนังสือกู้ไว้ แต่ในที่สุดพยานไม่ได้รับเงินกู้เนื่องจากจำเลยอ้างว่าคณะกรรมการยังไม่อนุมัติ ต่อมาจึงทราบจากผู้ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ว่าตนเป็นหนี้โจทก์ร่วมอยู่ทั้งที่ยังไม่ได้รับเงินกู้มาแต่อย่างใด นอกจากนั้นยังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 29 ธันวาคม 2537 ว่า “จำเลยแถลงว่ากำลังติดต่อขอเจรจากับโจทก์ร่วม โดยนัดหน้าจะขอชำระเงินให้กับโจทก์ร่วมเป็นเงิน 200,000 บาท ส่วนที่เหลือจะขอผ่อนชำระโดยทางโจทก์ร่วมคิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องในคดีแพ่ง” และรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์2538 “จำเลยแถลงว่า ญาติจะช่วยนำเงินมาชำระให้กับผู้เสียหาย ขอเลื่อนคดีเป็นประมาณต้นเดือนเมษายน 2538” และรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 18เมษายน 2538 “จำเลยแถลงว่ากำลังหาเงินมาเพื่อชำระหนี้ให้กับผู้เสียหาย และคิดว่าจะตกลงกันประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคม 2538 ขอเลื่อนคดี” ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย โดยเฉพาะนางสาวสุคนธ์หัวหน้าสำนักงานตรวจสอบบัญชีสหกรณ์หนองคายนั้นทำการตรวจสอบบัญชีของโจทก์ร่วมตามหน้าที่ของทางราชการ จึงเชื่อว่าพยานเบิกความตามความจริงประกอบกับก่อนมีการดำเนินคดีแก่จำเลย จำเลยได้นำเงินมาเข้าบัญชีคืนให้โจทก์ร่วมจำนวน 300,000 บาท และภายหลังจากถูกฟ้องคดีแล้ว จำเลยก็แถลงจะใช้หนี้คืนโจทก์ร่วมหลายครั้ง ซึ่งถ้าหากจำเลยมิได้กระทำผิด จำเลยก็ไม่มีเหตุที่จะต้องนำเงินมาเข้าบัญชีให้โจทก์ร่วมเพื่อชำระหนี้บางส่วน และมาแถลงต่อศาลขอชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมเช่นนั้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ทำงานตามหน้าที่ทุกประการนั้น ก็ปรากฏจากคำเบิกความของพันตำรวจโทวสันต์ กัณฑวงศ์พยานจำเลยว่า จำเลยได้ทำบันทึกยอมใช้เงินให้โจทก์ร่วมตามจำนวนที่ขาดไปโดยยอมรับผิดแต่ผู้เดียวตามเอกสารหมาย ล.3 ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยได้เบียดบังเอาเงินของโจทก์ร่วมที่จำเลยเก็บรักษาไว้ไปเป็นของจำเลยโดยทุจริตตามที่โจทก์ฟ้อง

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่า โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่การเงินการบัญชีผู้รับผิดชอบเก็บรักษาเงินต่าง ๆ ของโจทก์ร่วม เมื่อคณะกรรมการของโจทก์ร่วมอนุมัติให้สมาชิกกู้เงินแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่สมาชิก หรือเงินกู้ตามสัญญากู้ใหม่ซึ่งจะต้องหักเงินบางส่วนชำระหนี้เก่าที่ยังค้างชำระอยู่ รวมทั้งเงินของสมาชิกผู้ขอลาออกจากสมาชิกโจทก์ร่วมซึ่งโจทก์ร่วมจะต้องหักเงินของสมาชิกใช้หนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนจะอนุมัติให้ลาออก เงินเหล่านี้ล้วนยังเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วมอยู่ กรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าวยังมิได้โอนไปยังสมาชิกของโจทก์ร่วมเพราะยังมิได้มีการส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่กันโดยชอบ เมื่อจำเลยยักยอกเงินดังกล่าวไป โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยได้”

พิพากษายืน

Share