คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8170/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ อนุญาตให้บุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์ได้เข้าทำสัญญากับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินได้ แสดงว่าผู้ที่เข้าทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมิได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ประมูลซื้อสินทรัพย์ได้เท่านั้น โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิในการเข้าทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมาจากบริษัทเงินทุน ก. ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลและในวันที่โจทก์ทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเข้าทำสัญญากับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน และเมื่อผู้ที่ประมูลซื้อสินทรัพย์ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องในคดีนี้คือบริษัทเงินทุน ก. ส่วนโจทก์เป็นเพียงผู้รับโอนสิทธิในการเข้าทำสัญญาขาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบฟอร์มขอเสนอราคาและไม่ต้องปฏิบัติตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับขั้นตอนการเสนอราคา
ข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ ที่กำหนดว่า หากผู้ชนะการประมูลต้องการเสนอให้ผู้อื่นลงนามในสัญญาขายแทน ผู้ชนะการประมูลจะต้องระบุชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารของผู้ที่จะลงนามในสัญญาขายตามที่ระบุในรายละเอียดเอกสารเพิ่มเติมมายังองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินภายใน 2 วันทำการ นับจากวันประมูลนั้นเป็นเพียงระเบียบที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินกำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกและความเป็นระเบียบในการประมูล มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของระชาชนที่หากไม่ปฏิบัติตามแล้วจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ การที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินไม่ได้ยึดถือข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ ดังกล่าวที่กำหนดเกี่ยวกับวันเวลาในการเสนอบุคคลอื่นเข้าทำสัญญาแทนผู้ชนะการประมูลจึงไม่ทำให้สัญญาขายเสียไป
การที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินออกข้อสนเทศการจำหน่ายสินค้าทรัพย์ ฯ โดยกำหนดให้ผู้ที่ชนะการประมูลโอนสิทธิที่ผู้ชนะการประมูลมีอยู่ให้แก่ผู้อื่นโดยให้ผู้อื่นเข้าทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน เป็นการกำหนดขั้นตอนและวิธีการเกี่ยวกับการจัดการสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการประมูลโดยเปิดเผยตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.ก.การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30 วรรคห้า แล้ว จึงไม่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนรวมมีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อและรับโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด เป็นผู้จัดการกองทุนรวมโดยมีอำนาจกระทำการต่าง ๆ แทนโจทก์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม มีอำนาจจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มีนางวิวรรณและนายสุริพลเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทในการฟ้องและดำเนินคดีโจทก์โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด มอบอำนาจให้บริษัทรีเทล รีคอฟเวอร์รี่ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทน และให้มีอำนาจแต่งตั้งตัวแทนช่วงได้ เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2539 จำเลยที่ 1 ทำหนังสือคำขอกู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินในวงเงิน 2,000,000 บาท กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยมีข้อตกลงว่าหากตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถึงกำหนดใช้เงินแล้วจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระ จำเลยที่ 1 ยอมรับชดใช้เงินคืนให้จนครบถ้วนพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 24 ต่อปี นับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดเวลาเป็นต้นไปจนกว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน และยอมให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินได้แต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14505 ตำบลบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการชำระหนี้และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ภายหลังจากได้รับอนุมัติวงเงินกู้แล้วจำเลยที่ 1 กู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินหลายครั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 จำนวนเงิน 2,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 280/40 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 มอบให้ไว้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดและต่อมาบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการและได้ปิดกิจการถาวรเมื่อเดือนธันวาคม 2540 โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและชำระบัญชีขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินซึ่งเป็นองค์การที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินนำทรัพย์สินซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องในคดีนี้ออกขายทอดตลาด และโจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์สินดังกล่าวมา โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองทราบ กับทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และบอกกล่างบังคับจำนอง จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือแล้ว แต่เพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,999,178.07 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14505 ตำบลบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา และทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาลจึงไม่มีอำนาจฟ้อง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด กระทำการต่าง ๆ นอกขอบวัตถุประสงค์และขัดต่อกฎหมายจึงไม่ผูกพันโจทก์ การมอบอำนาจและการแต่งตั้งตัวแทนช่วงก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเงินทุน การซื้อขายสินทรัพย์มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจเงินทุนจึงตกเป็นโมฆะ การซื้อขายสินทรัพย์ในคดีนี้ก็กระทำโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายเอกสารท้ายฟ้องไม่ได้ปิดอากรแสตมป์จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ จำเลยทั้งสองไม่ได้ค้างชำระหนี้ตามฟ้อง ทั้งการคิดดอกเบี้ยก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายประกอบกับสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างชำระขาดอายุความแล้ว ก่อนฟ้องโจทก์มิได้มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองให้แก่จำเลยที่ 1 ทราบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำนอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,737,260 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14505 ตำบลบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 12,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนรวม มีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อและรับโอนสินทรัพย์ของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด เป็นผู้จัดการกองทุนรวมโดยมีอำนาจกระทำการต่าง ๆ แทนโจทก์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวม ในการฟ้องและดำเนินคดีโจทก์โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด มอบอำนาจให้บริษัทรีเทลรีคอฟเวอร์รี่ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทน และให้มีอำนาจแต่งตั้งตัวแทนช่วงได้ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2539 จำเลยที่ 1 ทำหนังสือคำขอกู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินในวงเงิน 2,000,000 บาท กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยมีข้อตกลงว่า หากตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถึงกำหนดใช้เงินแล้วจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระ จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้เงินคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 24 ต่อปี และยอมให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินได้ แต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14505 ตำบลบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการชำระหนี้ และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ภายหลังจากได้รับอนุมัติวงเงินกู้แล้วจำเลยที่ 1 กู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจำนวน 2,000,000 บาท โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 280/40 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 จำนวนเงิน 2,000,000 บาท มอบให้ไว้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนด และต่อมาบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการและได้ปิดกิจการถาวรเมื่อเดือนธันวาคม 2540 โดยอยู่ภายใต้การกำหนดดูแลและชำระบัญชีขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินนำทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิเรียกร้องในคดีนี้ออกประมูลขาย และโจทก์ทำสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นประการแรกว่า การทำสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 ระหว่างโจทก์กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาในทำนองว่า การมอบอำนาจให้ดำเนินการซื้อขายได้กระทำก่อนที่โจทก์จะมีฐานะเป็นนิติบุคคล และโจทก์เข้าทำสัญญากับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินโดยที่มิได้ปฏิบัติตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 ทั้งผู้ที่ชนะการประมูลคือบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) มิใช่โจทก์ และโจทก์มิใช่สถาบันการเงินแต่การโอนสิทธิเรียกร้องกลับไม่ปรากฏว่าได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ทั้งไม่ปฏิบัติตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 ที่ระบุว่า หากผู้ชนะการประมูลต้องการเสนอให้ผู้อื่นลงนามในสัญญาขายแทนผู้ชนะการประมูล จะต้องระบุชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารของผู้ที่จะลงนามในสัญญาขายตามที่ระบุในรายละเอียดเอกสารเพิ่มเติมมายังองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินภายใน 2 วันทำการ นับจากวันประมูล เห็นว่า ตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 อนุญาตให้บุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์ได้เข้าทำสัญญากับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินได้ แสดงว่าผู้ที่เข้าทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมิได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ประมูลซื้อสินทรัพย์ได้เท่านั้น ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิในการเข้าทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมาจากบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลและในวันที่โจทก์ทำสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลแล้วโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเข้าทำสัญญากับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน และเมื่อผู้ที่ประมูลซื้อสินทรัพย์ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องในคดีนี้คือบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ส่วนโจทก์เป็นเพียงผู้รับโอนสิทธิในการเข้าทำสัญญาขาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบฟอร์มขอเสนอราคาและไม่ต้องปฏิบัติตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 ในส่วนที่เกี่ยวกับขั้นตอนการเสนอราคา ส่วนหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2541 นั้น เป็นเรื่องที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด มอบอำนาจให้นางวิวรรณกระทำการแทนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมวรรณ จำกัด ไม่เกี่ยวกับโจทก์ในคดีนี้ ที่จำเลยทั้งสองอ้างในทำนองว่าบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) และโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 ที่กำหนดว่า หากผู้ชนะการประมูลต้องการเสนอให้ผู้อื่นลงนามในสัญญาขายแทนผู้ชนะการประมูลจะต้องระบุชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารของผู้ที่จะลงนามในสัญญาขายตามที่ระบุในรายละเอียดเอกสารเพิ่มเติมมายังองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินภายใน 2 วันทำการ นับจากวันประมูลนั้น เห็นว่า ข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 ดังกล่าว เป็นเพียงระเบียบที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินกำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกและความเป็นระเบียบในการประมูล หาใช่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่หากไม่ปฏิบัติตามแล้วจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ดังนั้นการที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินไม่ได้ยึดถือข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 ที่กำหนดเกี่ยวกับวันเวลาในการเสนอบุคคลอื่นเข้าทำสัญญาแทนผู้ชนะการประมูลจึงไม่ทำให้สัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 เสียไป และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าการยอมให้โจทก์ซึ่งไม่ใช่เป็นผู้ประมูลได้เข้าทำสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 เป็นการขัดต่อพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30 วรรคห้า ที่บัญญัติว่า “การขายทรัพย์สินเพื่อชำระบัญชีของบริษัทนั้นให้เปิดประมูลโดยเปิดเผย หรือแข่งขันราคาตามวิธีการที่คณะกรรมการกำหนดนั้น…” เห็นว่า การที่องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินออกข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 โดยกำหนดให้ผู้ที่ชนะการประมูลโอนสิทธิที่ผู้ชนะการประมูลมีอยู่ให้แก่ผู้อื่นโดยให้ผู้อื่นเข้าทำสัญญาขายกับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินนั้น เป็นการกำหนดขั้นตอนและวิธีการเกี่ยวกับการจัดการสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการประมูลโดยเปิดเผยตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 30 วรรคห้า แล้ว การออกข้อสนเทศการจำหน่ายสินทรัพย์ ฯ เอกสารหมาย ล.6 จึงไม่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว สำหรับข้อตกลงการโอนสิทธิในการเข้าทำสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 ระหว่างโจทก์กับบริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ก็ไม่มีกฎหมายใดบังคับว่าต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์กับองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินซึ่งกระทำการแทนผู้ขายนั้น ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์โดยจำเลยทั้งสองไม่นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่า โจทก์ได้บอกกล่าวการโอนให้จำเลยทั้งสองทราบโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคแรก แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นประการต่อไปมีว่าการที่นางวชิราลงลายมือชื่อในสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 ในฐานะผู้ปฏิบัติงานแทนเลขาธิการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมีผลผูกพันองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินหรือไม่ เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์และของจำเลยทั้งสองไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่าองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินได้ปฏิเสธความผูกพันตามสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 ที่นางวชิราลงลายมือชื่อในฐานะเป็นผู้ขาย ทั้งเมื่อพิจารณาตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 มาตรา 18 ก็พบว่าตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวกำหนดให้เลขาธิการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมีอำนาจมอบอำนาจให้ตัวแทนหรือบุคคลใดกระทำกิจการเฉพาะอย่างแทนได้ จึงเชื่อว่าการที่นางวชิราลงลายมือชื่อในสัญญาขายเอกสารหมาย จ.9 ดังกล่าวเป็นการลงลายมือชื่อในฐานะผู้แทนขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินมิใช่เป็นการลงลายมือชื่อโดยปราศจากอำนาจตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและกระบวนพิจารณาในชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคสาม จึงต้องคืนค่าคำร้องและค่าอ้างเอกสารชั้นขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์จำนวน 55 บาท แก่จำเลยทั้งสอง”
พิพากษายืน คืนค่าคำร้องและค่าอ้างเอกสารชั้นขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา จำนวน 55 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share