แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานสมคบหน่วงเหนี่ยวกักขังคนเพื่อสินไถ่นั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 5 สมคบกันกระทำผิดเริ่มแต่วันที่ 13 ธ.ค. ถึง 17 ธ.ค.95 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนอันเป็นเวลาระหว่างที่จำเลยลักพาเด็กไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้เพื่อสินไถ่ ไม่จำต้องระบุว่าจำเลยคนใดทำอะไร ความละเอียดนอกจากนี้เป็นข้อที่นำสืบ จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและไม่หลงข้อต่อสู้ จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
แม้ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้กักขังหน่วงเหนี่ยวและไม่มีพยานโจทก์เห็นผู้เสียหายถูกกักขังอยู่ในลัง เมื่อเหตุอื่น ๆ ฟังได้ว่าจำเลยสมคบกันหน่วงเหนี่ยวกักขังจริง จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง ๕ คนสมคบกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ด.ช.ท่ามกุ่ยอายุ ๗ ขวบบุตรของนายก้วง และทำให้บาดเจ็บเพื่อเรียกค่าสินไถ่ ๔๐๐๐ บาท ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษ นายเหมหรือพรด้วย
นายก้วงบิดาผู้เสียหายขอเป็นโจทก์ร่วมและถึงแก่กรรม นางฮวยมารดา ขอเป็นโจทก์ร่วมต่อไป
จำเลยปฏิเสธ นายฝ้อง นายเหม นายชั้ว จำเลยตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ส่วนข้อเคยต้องโทษ นายเหมรับว่าจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องของโจทก์ โจทก์ไม่เคลือบคลุมและฟังว่านายเปงชุ่น นางเปงเทียม จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขัง ด.ช.ท่ามกุ่ยเพื่อสินไถ่ ส่วนนายฝ้อง นายเหม นายชั้ว จำเลยหลักฐานพยานโจทก์ยังอ่อนไม่พอฟังว่ากระทำผิด พิพากษาว่านายเปงชุ่น นายเปงเทียมจำเลยมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๒๗๐,๖๓ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.อาญา พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) ม.๓,๔ ให้จำคุกคนละ ๑๕ ปี และให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะนายฝ้อง นายเหม นายชั้ว จำเลย
อัยการและโจทก์ร่วมและจำเลยผู้ที่ต้องโทษต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเปงชุ่น นายเปงเทียมจำเลยฎีกาในข้อ ก.ม.ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงตามฟ้องและคัดค้านในข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ผิด
ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งระบุว่าจำเลยสมคบกันกระทำผิดเริ่มแต่วันที่ ๑๓ ธ.ค. ถึง ๑๗ ธ.ค.๙๕ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนอันเป็นเวลาระหว่างที่จำเลยลักพาเด็กไปหน่วยเหนี่ยวกักขังไว้เพื่อสินไถ่ และไม่จำต้องระบุว่าจำเลยคนใดทำอะไร ตลอดจนสถานที่เกิดเหตุการกระทำเป็น ๒ ตำบล คือ ตำบลหับเที่ยงและตำบลควรปลิง ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำเลยคัดค้านขึ้นมานั้นเป็นข้อนำสืบทั้งสิ้น ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่หลงข้อต่อสู้แต่ประการใด
ส่วนข้อที่จำเลยคัดค้านว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องนั้นโดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยสมคบกันใช้กำลังกายและกลอุบายหลอกลวง พา ด.ช.ท่ามกุ่ยไปกักขังไว้ในลังซึ่งพวกจำเลยตอกตะปูไว้ แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาไม่ได้ความว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้กักขังหน่วงเหนี่ยมและไม่มีพยานโจทก์เห็น ด.ช.ท่ามกุ่ยถูกกักขังอยู่ในลัง ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจสมคบกันหน่วงเหนี่ยวกักขังและทางพิจารณาก็ได้ความเช่นนั้น ดังนั้นข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจึงหาต่างกับฟ้องไม่ และฟังว่านายเปงชุ่น นายเปงเทียน กระทำผิดจริงตามฟ้อง
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์