แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้มีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องที่ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงเท่านั้น เมื่อรถยนต์ตามคำร้องเป็นสินสมรสระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับ ร. ซึ่งผู้คัดค้านที่ 1 กับ ร. มีส่วนเป็นเจ้าของรวมกันคนละครึ่ง แม้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของ ร. ก็ยื่นคำร้องคัดค้านได้เฉพาะทรัพย์สินในส่วนของตน ไม่อาจยื่นคำร้องคัดค้านเกี่ยวกับทรัพย์สินในส่วนของ ร. และไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์สินในส่วนของ ร. ตกเป็นของแผ่นดิน
ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอสีคิ้ว ไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรือนจำกลางคลองไผ่ การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ไปพบและพูดคุยกับนักโทษชาย ม. ซึ่งเป็นนักโทษในคดียาเสพติดที่เรือนจำกลางคลองไผ่โดยผิดระเบียบ จึงไม่มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมและแม้ส่อว่าอาจมีข้อพิรุธ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้กระทำการอื่นใดที่จะถือว่าเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนักโทษชาย ม. มาก่อนหน้านั้นอย่างไร ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐาน
ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนักโทษชาย ม. ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ลักลอบส่งโทรศัพท์มือถือไปให้นักโทษชาย ม. เป็นการผิดระเบียบของเรือนจำ และนักโทษชาย ม. นำโทรศัพท์มือถือไปให้นักโทษชาย อ. ซึ่งรู้จักกันมาก่อนและสนิทสนมกัน ใช้ติดต่อจำหน่ายยาเสพติดจากภายในเรือนจำ ผู้คัดค้านที่ 2 จึงเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นความผิดมูลฐาน
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินทั้ง 9 รายการ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้เงินสดที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์หมายเลขทะเบียน วบ 4000 กรุงเทพมหานคร จำนวน 2,160,000 บาท ทรัพย์สินลำดับที่ 1 เงินสดที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์หมายเลขทะเบียน พร 9837 กรุงเทพมหานคร จำนวน 378,000 บาท ทรัพย์สินลำดับที่ 2 เงินสดจำนวน 90,510 บาท ทรัพย์สินลำดับที่ 4 เงินสดที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์หมายเลขทะเบียน วก 9775 กรุงเทพมหานคร จำนวน 673,000 บาท ทรัพย์สินลำดับที่ 5 อาวุธปืนพกสั้น รีวอลเวอร์ ขนาด .38 ยี่ห้อสมิธแอนด์เวสสัน หมายเลขทะเบียน กท 893310 ราคาประเมิน 12,000 บาท ทรัพย์สินลำดับที่ 6 ที่ดินโฉนดเลขที่ 51807 ทรัพย์สินลำดับที่ 11 ที่ดินโฉนดเลขที่ 1508 ทรัพย์สินลำดับที่ 12 คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ยี่ห้อคอมแพค จำนวน 1 เครื่อง พร้อมกระเป๋า ทรัพย์สินลำดับที่ 13 บ้านเลขที่ 51/57 ทรัพย์สินลำดับที่ 14 พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดิน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลของคู่ความทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า เจ้าพนักงานตำรวจร่วมกันสืบสวนพฤติการณ์ของนายอาเซิน หรือนายสิทธิชัย ซึ่งเป็นนักโทษเรือนจำกลางบางขวางและย้ายไปจำคุกที่เรือนจำกลางคลองไผ่ จากการสืบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2545 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนางวราภรณ์หรือปอย พร้อมเมทแอมเฟตามีน 150,000 เม็ด เป็นของกลาง โดยนางวราภรณ์ให้การว่านายอาเซินเป็นผู้สั่งการทางโทรศัพท์จากในเรือนจำ และต่อมาวันที่ 26 สิงหาคม 2545 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายบุญญฤทธิ์หรือหนูเล็ก พร้อมเมทแอมเฟตามีน 110,000 เม็ด เป็นของกลาง นายบุญญฤทธิ์ให้การว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของนายอาเซิน หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่านายอาเซินใช้โทรศัพท์มือถือสั่งการจากภายในเรือนจำให้นายคฑาวุธหรือโจ นำเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนไปส่งให้แก่ลูกค้า โดยติดต่อทางโทรศัพท์มือถือจำนวน 3 หมายเลข และเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2545 เจ้าพนักงานตำรวจพบนายคฑาวุธขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สีน้ำตาล ไปจอดหน้าห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาถนนรัชดาภิเษก จึงเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน 1,800,000 เม็ด และเฮโรอีน 90 แท่ง ซุกซ่อนอยู่ที่ท้ายกระบะของรถยนต์คันดังกล่าว นายคฑาวุธให้การรับว่านายอาเซินซึ่งถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำกลางคลองไผ่เป็นผู้สั่งการทางโทรศัพท์ให้นำของดังกล่าวไปส่งให้แก่ลูกค้า จากนั้นวันที่ 3 พฤศจิกายน 2545 เจ้าพนักงานเข้าไปตรวจค้นห้องควบคุมที่ 23 ของเรือนจำกลางคลองไผ่ ซึ่งเป็นห้องคุมขังที่มีนายอาเซินและนักโทษชายมนูอยู่ด้วย ผลการตรวจค้นครั้งแรกพบแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง ซึ่งมีสภาพใช้งานได้ 2 เครื่อง และมีสภาพถูกทำลายใช้งานไม่ได้ 1 เครื่อง และค้นพบถ่านโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย 3 ก้อน ยี่ห้ออีริคสัน 1 ก้อน อยู่ในถังขยะภายในห้องควบคุม แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นเจ้าของ ต่อมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาและอธิบดีกรมราชทัณฑ์พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นภายในเรือนจำอีกครั้ง ค้นพบซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ 4 ชิ้น ซุกซ่อนอยู่ในตัวของนักโทษชายมนูและพบโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย ไม่ทราบหมายเลขโทรศัพท์ สภาพหน้ากากถูกทำลายซุกซ่อนอยู่ในถังขยะภายในห้องควบคุม ต่อมากรมราชทัณฑ์มีคำสั่งที่ 877/2545 ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงนายสุนทร เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ 5 และนายจรวย ผู้บังคับแดน 2 เรือนจำกลางคลองไผ่ เนื่องจากนายสุนทรมีพฤติการณ์เข้าไปภายในแดน 2 โดยไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและลักลอบติดต่อกับนักโทษชายมนู โดยมีการนำเงินสด อาหาร และสิ่งของอื่นเข้าไปให้ผู้ต้องขังโดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ส่วนนายจรวยละเลยไม่ตรวจตราและกำกับดูแลการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา และมีคำสั่งที่ 879/2545 ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2545 ย้ายผู้คัดค้านที่ 1 ผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอสีคิ้วไปประจำกรมราชทัณฑ์ และมีคำสั่งที่ 887/2545 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2545 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงผู้คัดค้านที่ 1 เนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2545 ผู้คัดค้านที่ 1 เดินทางไปพบนักโทษชายมนูในห้องทำงานหัวหน้าฝ่ายควบคุมและรักษาการณ์ภายในเรือนจำกลางคลองไผ่ตามลำพังสองต่อสอง ต่อมาได้มีการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 40/2545 วันที่ 13 พฤศจิกายน 2545 พิจารณารายงานและข้อมูลการทำธุรกรรมประกอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้ว จึงมีมติให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทำธุรกรรมและทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ต่อมาเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีคำสั่งที่ ม.79/2545 มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 กับพวก และหากตรวจสอบพบมีบุคคลอื่นเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์ก็ให้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของบุคคลดังกล่าวด้วย ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2545 พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจยึดเงินและทรัพย์สินไว้ชั่วคราวรวม14 รายการ คณะกรรมการธุรกรรมประชุมครั้งที่ 7/2546 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2546 ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า ทรัพย์สินที่ยึดและอายัดไว้ชั่วคราวลำดับที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 13 และที่ 14 รวม 9 รายการ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 3 (1) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 สำหรับเงินสดที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์หมายเลขทะเบียน พร 9837 กรุงเทพมหานคร จำนวน 378,000 บาท ทรัพย์สินลำดับที่ 2 ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ ส่วนอาวุธปืนพกสั้น รีวอลเวอร์ ขนาด .38 ยี่ห้อสมิธแอนด์เวสสัน หมายเลขทะเบียน กท 893310 ราคาประเมิน 12,000 บาท ทรัพย์สินลำดับที่ 6 ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ฎีกา คำสั่งที่ให้ทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดินจึงยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามลำดับ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ก่อนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มีอำนาจยื่นคำคัดค้านหรือไม่ เห็นว่า ทางไต่สวนปรากฏว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กับนางรำพึงจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2526 แม้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 จะมีนางสาววิไล เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏว่ามีการจดทะเบียนหย่ากับนางรำพึงแต่อย่างใด ซึ่งผู้ร้องมิได้คัดค้านข้อเท็จจริงนี้ ดังนั้นนางรำพึงจึงเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อรถยนต์หมายเลขทะเบียน วบ 4000 กรุงเทพมหานคร ได้มาในระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรสและเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านที่ 1 กับนางรำพึงมีส่วนเป็นเจ้าของรวมกันคนละครึ่ง เมื่อตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 50 วรรคหนึ่ง ผู้มีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้านต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงเท่านั้น แต่ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ให้ผู้ซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมีหนังสือแจ้งให้ผู้คัดค้านที่ 1 และนางรำพึงทราบเพื่อใช้สิทธิดังกล่าว ตามลำดับแล้ว คงมีแต่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ยื่นคำร้องคัดค้านเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการนี้ นางรำพึงมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านในฐานะเจ้าของรวมด้วยทั้งที่นางรำพึงเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในรายการจดทะเบียน และเคยให้การต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินว่ารถยนต์เป็นของตน แต่ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อแทน และผู้คัดค้านที่ 1 ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของรถยนต์เลย อีกทั้งยังปรากฏว่านางรำพึงเป็นผู้รับมอบเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์จำนวน 2,160,000 บาท จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินไปรักษาไว้ระหว่างดำเนินคดีนี้ตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความและยกขึ้นในฎีกา ดังนั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางรำพึง ก็คงยื่นคำร้องคัดค้านได้เฉพาะทรัพย์สินในส่วนของตน ไม่อาจยื่นคำร้องคัดค้านเกี่ยวกับทรัพย์สินในส่วนของนางรำพึงแทนนางรำพึงได้ และผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์สินในส่วนของนางรำพึงตกเป็นของแผ่นดินด้วย แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ในส่วนนี้มาผู้คัดค้านที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาต่อมา ฎีกาในปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สินในส่วนของนางรำพึงจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 จึงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สินกึ่งหนึ่งในส่วนของผู้คัดค้านที่ 1
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ต่อไปว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมอันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ 2542 มาตรา 3 (5) หรือไม่ และรถยนต์หมายเลขทะเบียน วบ 4000 กรุงเทพมหานคร เฉพาะในส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นข้าราชการกรมราชทัณฑ์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอสีคิ้ว แต่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในเรือนจำกลางคลองไผ่ การที่ผู้คัดค้านที่ 1 เข้าไปในเรือนจำกลางคลองไผ่และพูดคุยกับนักโทษชายมนูโดยไม่มีหน้าที่และมิได้ขออนุญาตผู้มีอำนาจให้ถูกต้องตามระเบียบจึงมิได้มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งตามหนังสือแจ้งผลการสอบสวนและสำเนารายงานการสอบสวนผู้คัดค้านที่ 1 ก็ปรากฏว่าคณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบธรรมเนียมของทางราชการ ตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 เท่านั้น อีกทั้งการที่ผู้คัดค้านที่ 1 ไปพบและพูดคุยกับนักโทษชายมนูโดยผิดระเบียบนั้น แม้ส่อว่าอาจมีข้อพิรุธ แต่ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้กระทำการอื่นใดที่จะถือว่าเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนักโทษชายมนูมาก่อนหน้านั้นอย่างไร เมื่อผู้ร้องมิได้นำสืบพยานหลักฐานอื่นในข้อนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้เป็นผู้กระทำความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (5) และผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ใช่ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (1) ผู้ร้องจึงไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 51 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ผู้ร้องคงมีพันตำรวจโท ณรงค์ฤทธิ์ เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาเบิกความเพียงว่า น่าเชื่อว่าเงินที่ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวได้มาจากการทุจริตต่อหน้าที่ของผู้คัดค้านที่ 1 โดยมิได้นำสืบพยานหลักฐานอื่น ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 เองก็คัดค้านและนำสืบปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงรับฟังไม่ได้ว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน วบ 4000 กรุงเทพมหานคร ทรัพย์สินลำดับที่ 1 เฉพาะในส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ในส่วนนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (1) หรือไม่ และทรัพย์สินลำดับที่ 4 ที่ 5 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 13 และที่ 14 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ผู้คัดค้านที่ 2 ถูกฟ้องในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็ตาม แต่ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นภริยาของนักโทษชายมนูซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ลักลอบส่งโทรศัพท์มือถือไปให้นักโทษชายมนูภายในเรือนจำเป็นการผิดระเบียบของเรือนจำ และเมื่อนักโทษชายมนูได้รับโทรศัพท์มือถือไปแล้วอาจนำไปให้นักโทษชายอาเซินใช้ในการติดต่อเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติด อีกทั้งการที่นักโทษชายมนูมีซิมการ์ด 4 อัน ไว้ในครอบครอง อันเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบของเรือนจำอย่างร้ายแรง แม้อ้างว่ามีไว้เพื่อติดต่อกับผู้คัดค้านที่ 2 และบุตร ก็ตาม กรณีเป็นข้อพิรุธ พยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่านักโทษชายมนูนำโทรศัพท์มือถือที่ได้รับจากผู้คัดค้านที่ 2 ไปให้นักโทษชายอาเซินซึ่งรู้จักกันมาก่อนและสนินสนมกันเพื่อใช้ในการติดต่อจำหน่ายยาเสพติด พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันเป็นความผิดมูลฐานมาก่อน กรณีจึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51 วรรคสาม กล่าวคือ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 2 ที่ผู้ร้องร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ผู้คัดค้านที่ 2 จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ ผู้คัดค้านที่ 2 นำสืบว่า เงินสดจำนวน 90,510 บาท เป็นเงินที่มารดาของผู้คัดค้านที่ 2 รับมาจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์การเกษตรเมืองสุพรรณบุรี เนื่องจากบิดาของผู้คัดค้านที่ 2 ได้ถึงแก่ความตายเป็นเงิน 63,759 บาท และนำมาฝากผู้คัดค้านที่ 2 ส่วนเงินที่เหลือเป็นเงินของผู้คัดค้านที่ 2 ที่ค้าขายเบียร์และเตรียมไว้เพื่อชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ ผู้คัดค้านที่ 2 มีรายได้จากการเปิดร้านขายเบียร์ในห้างสรรพสินค้าโลตัส มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางเมตร ซึ่งเสียค่าเช่าสถานที่เดือนละ 10,000 บาท มีลูกค้าเป็นพันคน และมีกำไรเดือนละ 70,000 บาท ถึง 100,000 บาท เห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เบิกความลอย ๆ ว่ามารดาของผู้คัดค้านที่ 2 นำเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ 63,759 บาท มาฝากผู้คัดค้านที่ 2 และมีกำไรจากการขายเบียร์ในห้างสรรพสินค้าเดือนละ 70,000 บาท ถึง 100,000 บาท แต่ไม่มีหลักฐานการสั่งซื้อสินค้าและบัญชีรายรับรายจ่ายมาแสดง กลับได้ความจากคำให้การของนายภูมรินทร์ว่า นายภูมรินทร์ทำงานเป็นตัวแทนจำหน่ายเบียร์สดยี่ห้อสิงห์ นายภูมรินทร์ส่งเบียร์สดให้แก่ร้านของผู้คัดค้านที่ 2 ในห้างสรรพสินค้าโลตัสเดือนละประมาณ 25 ถัง ราคาถังละ 2,300 บาท ซึ่งเบียร์สดแต่ละถังแบ่งได้ทั้งหมด 30 เหยือก ผู้คัดค้านที่ 2 จะขายในราคาเหยือกละ 120 บาท เมื่อพิจารณาคำให้การดังกล่าวแสดงว่าผู้คัดค้านที่ 2 จะมีรายได้จากการขายเบียร์สดเดือนละประมาณ 90,000 บาท เมื่อหักรายจ่ายที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้ส่งเบียร์สด 57,500 บาท คงเหลือรายได้ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่นเพียงเดือนละ 32,500 บาท และต้องเสียค่าเช่าสถานที่อีกเดือนละ 10,000 บาท เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 มิได้นำสืบว่ายังมีรายได้อื่นอีก จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 2 จะมีกำไรเดือนละ 70,000 บาท ถึง 100,000 บาท ตามที่ผู้คัดค้านที่ 2 นำสืบ พยานหลักฐานของผู้คัดค้านที่ 2 เท่าที่นำสืบมาไม่สามารถพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานได้ว่าทรัพย์สินที่ผู้ร้องร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด กรณีจึงต้องรับฟังว่า ทรัพย์สินลำดับที่ 4 ที่ 5 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 13 และที่ 14 เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย คดีในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนเงินสดที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์หมายเลขทะเบียน วบ 4000 กรุงเทพมหานคร ทรัพย์สินลำดับที่ 1 กึ่งหนึ่ง จำนวน 1,080,000บาท พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นแก่ผู้คัดค้านที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ