คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

อาวุธปืนพกออโตเมติกของกลาง ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีใบอนุญาตให้มีและใช้นั้นเป็นของบิดาจำเลยโดยถูกต้อง ความผิดของจำเลยอยู่ที่การมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดเฉพาะตัว อาวุธปืนของกลางดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบ ทั้งไม่ปรากฎว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยได้กระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 32, 33

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 91, 32, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต (ที่ถูก ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียน ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม (พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ) มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ริบ (อาวุธปืน) ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยโดยกล่าวหาว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 ซึ่งเป็นของผู้มีชื่อที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายจำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนขนาดเดียวกันจำนวน 6 นัด กับอาวุธปืนลูกซองสั้นชนิดประกอบขึ้นเอง ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับจำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนลูกซองขนาด 20 จำนวน 2 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนทั้งสองกระบอกดังกล่าวติดตัวไปในเมือง และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยยอมรับว่าจำเลยครอบครองอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 และกระสุนปืนขนาดเดียวกันจำนวน 6 นัด ซึ่งเป็นของบิดาจำเลยที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย แต่ให้การปฏิเสธข้อหาอื่น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกพจนาจ งบพิมาย และสิบตำรวจเอกสมพงษ์ ชาโพธิ์ ผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2542 เวลา 15.40 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกพจนาจ กับพวก ประมาณ 10 คน ได้ออกตรวจท้องที่บริเวณตลาดบางซ่อน แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร เนื่องจากได้รับแจ้งว่าบริเวณดังกล่าวมีการลักลับจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ เจ้าพนักงานตำรวจทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ ได้แบ่งกำลังกันชุดละ 2 ถึง 3 คน แล้วแยกย้ายกันตรวจตามทางเข้าออกตลาดซึ่งมีหลายทาง ร้อยตำรวจเอกพจนาจพบจำเลยกำลังเดินบริเวณท้ายตลาด มีท่าทางพิรุธไม่ยอมสบตา และพยายามเดินหนี ร้อยตำรวจเอกพจนาจจึงแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้น ผลการตรวจค้นตัวจำเลยพบอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 หมายเลขทะเบียน กท. 204407 พร้อมกระสุนปืน 6 นัด ที่บริเวณเอวด้านหน้า อาวุธปืนลูกซองสั้นพร้อมกระสุนปืน 1 นัด ที่เอวด้านหลัง กระสุนปืนลูกซองอีก 1 นัด ที่กระเป๋าคาดเอว ร้อยตำรวจเอกพจนาจแจ้งข้อหาจำเลยว่ามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เห็นว่าร้อยตำรวจเอกพจนาจและสิบตำรวจเอกสมพงษ์ต่างไม่เคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน การจับกุมจำเลยมิใช่เกิดจากวัตถุประสงค์ที่จะไปจับกุมจำเลยแต่แรก แต่เจ้าพนักงานตำรวจต้องการไปตรวจบริเวณนั้นตามที่ได้รับแจ้งว่ามีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษและจับกุมจำเลยพร้อมอาวุธปืนได้โดยบังเอิญ จึงไม่มีพฤติการณ์ให้น่าสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งสองกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย จำเลยเบิกความรับว่าจบการศึกษาระดับอนุปริญญา และเป็นผู้จัดการตลาดดังกล่าวมา 2 ปี และชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การปฏิเสธโดยไม่อธิบายเหตุผล ตามรูปเรื่องไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมโดยมิได้อ่านข้อความก่อน ที่จำเลยฎีกาว่า ร้อยตำรวจเอกพจนาจเบิกความว่าพบจำเลยที่บริเวณท้ายตลาด ส่วนสิบตำรวจเอกสมพงษ์เบิกความว่าพบจำเลยภายในตลาด อันเป็นการเบิกความแตกต่างกันนั้น เห็นว่า สิบตำรวจเอกสมพงษ์ได้เบิกความตอบโจทก์ว่า ขณะเห็นจำเลย จำเลยกำลังยืนอยู่ภายในตลาดท่าทางพิรุธ และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การจับกุมผู้ต้องหาคดีอาวุธปืนฯ สามารถจับกุมได้บริเวณท้ายตลาดบางซ่อน ดังนั้น ที่สิบตำรวจเอกสมพงษ์เบิกความว่า ภายในตลาดจึงหมายถึงบริเวณท้ายตลาดดังที่ได้เบิกความตอบคำถามค้านคำเบิกความของสิบตำรวจเอกสมพงษ์มิได้ขัดแย้งกับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกพจนาจดังที่จำเลยฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่า ก่อนจับกุมจำเลย 20 นาที เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมนายอิสระในที่เดียวกันมาแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะพาอาวุธปืนติดตัวไปทั้งที่รู้ว่ามีเจ้าพนักงานตำรวจอยู่นับสิบภายในบริเวณนั้น และบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 มีเครื่องหมายให้จำเลยลงลายมือชื่อตรงด้านหน้าและที่ด้านหลังยังให้จำเลยลงลายมือชื่อตรงริมขอบกระดาษทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อความใดผิด น่าเชื่อว่าผู้จัดทำบันทึกดังกล่าวให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้อ่านข้อความให้จำเลยฟัง เห็นว่า เจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจท้องที่บริเวณตลาดบางซ่อนเนื่องจากได้รับแจ้งว่าบริเวณดังกล่าวมีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ เจ้าพนักงานตำรวจทุกคนแต่งกายนอกเครื่องแบบและเดินตรวจโดยจัดกำลังเป็นชุด ชุดละ 2 ถึง 3 คน แยกย้ายกันเดินตรวจตามทางออกซึ่งมีหลายทาง การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้จำหน่ายยาเสพติดให้โทษได้ก่อนแล้วจึงจับจำเลยในเวลาต่อมาห่างกันประมาณ 20 นาที ภายในบริเวณเดียวกันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะขณะนั้นเจ้าพนักงานตำรวจแยกย้ายกันตรวจจากทางออกซึ่งมีหลายทาง การที่จำเลยจะหลบหนีไปทางใด ก็ต้องพบเจ้าพนักงานตำรวจ ที่ร้อยตำรวจเอกพจนาจและสิบตำรวจเอกสมพงษ์เบิกความว่า จำเลยมีท่าทางพิรุธโดยพยายามหลบสายตาและมีท่าทางจะเดินหนีจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง จำเลยรู้ว่ามีเจ้าพนักงานตำรวจมาก็สืบเนื่องจากมีการจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ดังนั้น หากจำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปก็เป็นการกระทำก่อนที่จำเลยจะรู้ว่ามีเจ้าพนักงานตำรวจมาที่ตลาด มิใช่จำเลยรู้ว่ามีเจ้าพนักงานตำรวจมาแล้วยังพกอาวุธปืนติดตัวไปดังที่จำเลยฎีกา พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะมีและพาอาวุธปืน 2 กระบอก ติดตัวไปในบริเวณตลาดซึ่งเป็นที่สาธารณะมีบุคคลพลุกพล่าน แต่อาวุธปืนของกลางกระบอกหนึ่งคืออาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 เป็นของบิดาจำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย จึงสมควรกำหนดโทษจำเลยทั้งสองกระทงให้เบาลงกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดและจำเลยนำสืบรับว่าจำเลยได้ครอบครองอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 ของกลางดังกล่าวจริง นับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้จำเลยบางส่วนสำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืน ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง อาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 หมายเลขทะเบียน กท.204407 ของกลาง ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีใบอนุญาตให้มีและใช้นั้นเป็นของบิดาจำเลยโดยถูกต้องความผิดของจำเลยอยู่ที่การมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดเฉพาะตัว อาวุธปืนของกลางดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบ ทั้งไม่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยได้กระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 สมควรคืนอาวุธปืนพกกระบอกดังกล่าวแก่เจ้าของ แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี รวมโทษทุกระทงแล้วเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน และให้คืนอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 หมายเลขทะเบียน กท. 204407 แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share