คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับแต่งตั้งจากผู้เสียหายให้เป็นทนายความโดยมิได้รับมอบหมายให้รับเงินแทนผู้เสียหาย จำเลยในฐานะเป็นทนายความของผู้เสียหายจึงเพียงแต่มีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆแทนผู้เสียหายได้เท่านั้น ไม่มีอำนาจที่จะรับเงินซึ่งลูกหนี้จะชำระแก่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจ้างจำเลยเป็นทนายความให้ฟ้องเรียกเงินกู้จากค.ต่อมาผู้เสียหายกับค. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย ค. ยอมชำระเงิน 45,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ชำระให้ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 35,000บาท จะผ่อนชำระ ต่อมา ค. ได้นำเงิน 35,000 บาท ที่เหลือไปชำระให้แก่จำเลย จำเลยรับเงินจำนวน 35,000 บาท โดยผู้เสียหายไม่ได้มอบหมายให้จำเลยมีอำนาจรับเงินจาก ค. แทนผู้เสียหายฉะนั้น เงินที่จำเลยรับไว้จาก ค. จึงยังมิใช่เป็นเงินของผู้เสียหาย แม้จำเลยได้เบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนโดยทุจริตก็ตาม ก็ยังไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับมอบหมายให้เป็นทนายความฟ้องคดีเรียกเงินตามสัญญากู้และรับชำระหนี้แทนนางอุษา เนตตะสูตผู้เสียหายได้รับเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีจากผู้เสียหายจำนวน 13,800 บาท และรับชำระหนี้จากลูกหนี้ของผู้เสียหายไว้แทนผู้เสียหายอีกจำนวน 35,000 บาท ระหว่างที่จำเลยครอบครองเงินดังกล่าว จำเลยได้กระทำผิดหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็นทนายความโดยจำเลยได้เบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353 และให้จำเลยใช้เงินจำนวน 48,800 บาท แก่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 ลงโทษจำคุก 10 เดือน ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 48,800 บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับข้อกล่าวหาของโจทก์ที่ว่าจำเลยได้ยักยอกเงินจำนวน 13,800 บาท ที่ผู้เสียหายมอบให้แก่จำเลยเพื่อใช้ชำระค่าธรรมเนียมและค่าภาษีในการจดทะเบียนนิติกรรมขายฝากที่ดินนั้น ผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อทราบว่าไม่มีการจดทะเบียนนิติกรรมขายฝากที่ดินแล้ว ผู้เสียหายได้ทวงเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยแต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ผู้เสียหายจึงมีหนังสือลงวันที่ 20 สิงหาคม 2530 ตามเอกสารหมาย ล.4 ร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการมรรยาททนายความให้ดำเนินการแก่จำเลยจากคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวประกอบกับข้อความในเอกสารหมาย ล.4 แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายรู้เรื่องการยักยอกเงินจำนวน13,800 บาท ดังกล่าวและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 20สิงหาคม 2530 เป็นอย่างช้า ซึ่งความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 และ 353 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยมานั้น เป็นความผิดอันยอมความได้ตามมาตรา 356 แต่ผู้เสียหายเพิ่งมาร้องทุกข์และมอบคดีต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2531 ตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเกินกำหนดสามเดือนนับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความตามมาตรา 96 แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สำหรับข้อกล่าวหาของโจทก์ที่ว่า จำเลยยักยอกเงินจำนวน35,000 บาท ที่นายคำ ชัยมีเขียว นำมามอบให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า ผู้เสียหายจ้างจำเลยเป็นทนายความให้ฟ้องเรียกเงินกู้จากนายคำ ต่อมาผู้เสียหายกับนายคำได้ประนีประนอมยอมความกันโดยนายคำยอมชำระเงิน 45,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ชำระให้ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก35,000 บาท จะผ่อนชำระ ต่อมานายคำได้นำเงิน 35,000 บาทที่เหลือไปชำระให้แก่จำเลย จำเลยรับเงินดังกล่าวไว้แล้วไม่นำไปมอบให้แก่ผู้เสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้มอบหมายให้จำเลยมีอำนาจรับเงินจากนายคำแทนผู้เสียหาย ดังนั้นจำเลยในฐานะเป็นทนายความของผู้เสียหายจึงเพียงแต่มีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนผู้เสียหายได้เท่านั้น จำเลยหามีอำนาจที่จะรับเงินซึ่งจะชำระแก่ผู้เสียหายไม่ ฉะนั้นเงินจำนวน 35,000 บาท ที่จำเลยรับไว้จากนายคำจึงยังมิใช่เป็นเงินของผู้เสียหาย แม้จะฟังว่าจำเลยได้เบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนโดยทุจริตก็ตามก็ยังไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงไม่มีสิทธิร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 190/2532ระหว่างนายกริช ศิริชาติชัย โจทก์ นายไพฑูรย์ สายแก้วเทศจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share