คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1385/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้เช็คพิพาทแต่ละฉบับจะถึงกำหนดใช้เงินแล้ว แต่การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ออกเช็คพิพาทแก้ไขวันที่เดือนปีในเช็คพิพาทโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทยินยอม เช็คพิพาทจึงยังคงใช้ได้ต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง โดยถือว่าเช็คพิพาทมีกำหนดใช้เงินตามวันที่เดือนปีที่แก้ไขนั้น กรณีหาใช่เป็นการขยายอายุความออกไปอันขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 193/11 ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,616,543 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,509,900 บาท (ที่ถูกต้อง 1,509,700 บาท) นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,616,543 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,509,700 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 40,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน จำนวน 1,509,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 628,200 บาท นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2540 และของต้นเงินจำนวน 881,500 บาท นับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 106,843.63 บาท ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน) สาขาบางรัก จำนวน 5 ฉบับ ฉบับที่หนึ่งลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2539 จำนวนเงิน 294,300 บาท ฉบับที่สองลงวันที่ 5 มีนาคม 2539 จำนวนเงิน 330,000 บาท ฉบับที่สามลงวันที่ 14 มีนาคม 2539 จำนวนเงิน 298,200 บาท ฉบับที่สี่ลงวันที่ 21 มีนาคม 2539 จำนวนเงิน 298,200 บาท และฉบับที่ห้าลงวันที่ 25 มีนาคม 2539 จำนวนเงิน 289,000 บาท จำเลยที่ 2 สลักหลังและนำเช็คไปขายลดให้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ได้แก้ไขวันเดือนปีในเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับ และลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขไว้ด้วย โดยเช็คฉบับที่หนึ่งและฉบับที่สอง แก้ไข พ.ศ. 2539 เป็น พ.ศ. 2540 ฉบับที่สาม แก้ไขวันที่ 13 เป็นวันที่ 14 และแก้ไข พ.ศ. 2539 เป็น พ.ศ. 2540 ฉบับที่สี่ แก้ไขวันที่ 20 เป็นวันที่ 21 และแก้ไข พ.ศ. 2539 เป็น พ.ศ. 2540 และฉบับที่ห้า แก้ไข พ.ศ. 2539 เป็น พ.ศ. 2540 ต่อมาเมื่อเช็คทั้ง 5 ฉบับ ถึงกำหนดตามที่แก้ไขและโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินแล้ว ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับ เพราะเหตุจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินไว้ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 เป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
…ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การแก้ไขเช็คพิพาทเป็นการแก้ไขภายหลังเช็คพิพาทขาดอายุความแล้ว เป็นการขยายอายุความขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/11 ทำนองว่าเช็คเสียไปและโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า การแก้ไขวันเดือนปีในเช็คพิพาทเป็นการแก้ไขโดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วยโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงยินยอม เช็คพิพาทจึงไม่เสียไปและใช้ได้ต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้แก้ไขตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007 วรรคแรก โดยถือว่าเช็คพิพาทมีกำหนดเวลาใช้เงินตามที่แก้ไขนั้น กรณีหาใช่เป็นเรื่องขยายอายุความฟ้องร้องดังที่จำเลยฎีกาไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับ จะขาดอายุความฟ้องร้องในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2540 เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องภายใน 1 ปี จึงขาดอายุความแล้วนั้นเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าคดีขาดอายุความ จำเลยต้องให้การโดยชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการขาดอายุความนั้นด้วยว่าคดีโจทก์เริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดและขาดอายุความเมื่อใด จำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว กล่าวคือ เช็คแต่ละฉบับลงวันที่เท่าใดโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยที่ 1 แก้ไขวันเดือนปีในเช็คเป็นวันที่เท่าใด จำเลยที่ 1 มิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าอายุความนับตั้งแต่วันที่เท่าใด เช็คขาดอายุความแล้วตั้งแต่เมื่อใด และจะครบกำหนด 1 ปีวันใด เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ ที่ศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว…
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท

Share