แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ ก. มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลโดยตรงและได้เบิกความรับว่าได้ให้การไว้ในฐานะผู้กล่าวหาตามคำให้การเอกสารหมาย จ.16 จึงเป็นเรื่องที่ ก. เบิกความในเรื่องที่ตนประสบพบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้โดยตรง ส่วนถ้อยคำของ ก. ที่ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.16 ก็เป็นถ้อยคำของ ก. เองมิใช่ถ้อยคำอันเป็นคำบอกเล่าของบุคคลอื่นที่นำมาเสนอต่อศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความดังกล่าวแต่อย่างใด อันจะเป็นพยานบอกเล่าตามความหมายของ ป.วิ.อ. มาตรา 226/3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 20 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่จำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้นางกุหลาบมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลโดยตรงและได้เบิกความรับว่าได้ให้การไว้ในฐานะผู้กล่าวหาตามคำให้การเอกสารหมาย จ.16 จึงเป็นเรื่องที่นางกุหลาบเบิกความในเรื่องที่ตนประสบพบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้โดยตรง ส่วนถ้อยคำของนางกุหลาบที่ได้ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามคำให้การเอกสารหมาย จ.16 ก็เป็นถ้อยคำของนางกุหลาบเองไม่ใช่ถ้อยคำอันเป็นคำบอกเล่าของบุคคลอื่นที่นำมาเสนอต่อศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความดังกล่าวแต่อย่างใด อันจะเป็นพยานบอกเล่าตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 อย่างไรก็ตามปัญหาที่จะต้องพิเคราะห์ก็คือเมื่อเกิดความแตกต่างกันในข้อเท็จจริงบางตอนของถ้อยคำที่พยานเบิกความต่อศาลกับที่พยานได้เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน เห็นว่า การที่พยานเบิกความในชั้นศาลแตกต่างกับที่พยานเคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนโดยพยานไม่ได้แสดงให้เห็นถึงเหตุผลให้รับฟัง ทั้งพยานไม่ได้โต้แย้งว่าบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวพนักงานสอบสวนทำโดยไม่ชอบแต่อย่างใด จึงมีลักษณะเป็นการเบิกความบ่ายเบี่ยงเพื่อช่วยเหลือจำเลย ส่วนที่พยานได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนเกิดขึ้นไม่นานหลังเกิดเหตุยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้ตายโดยใช้ขวดสุราและมีดเป็นอาวุธทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตายแล้วหนีไป จึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าที่พยานเบิกความในชั้นศาล นอกจากนั้นโจทก์ยังได้นำสืบคำให้การรับสารภาพของนายประยุทธในชั้นสอบสวนที่ซัดทอดจำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกันกับจำเลยโดยโจทก์ได้นำสืบพันตำรวจโทธีระ เจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนนายประยุทธตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 1998/2550 ของศาลชั้นต้น เบิกความสนับสนุนว่า ชั้นสอบสวนนายประยุทธ ให้การรับสารภาพว่าวันเกิดเหตุผู้ตายได้ไปที่ห้องเช่าเกิดเหตุ เมื่อนายประยุทธเห็นผู้ตาย ได้หยิบมีดปลายแหลมแทงผู้ตาย 2 ถึง 3 ครั้ง ขณะแทง จำเลยได้ร่วมกับพวกจับตัวผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายถูกแทงล้มลงแล้ว จำเลยได้เข้ากระทืบซ้ำ หลังจากนั้นนายประยุทธและจำเลยกับพวกได้หลบหนีไป เช่นนี้แม้ว่าคำให้การชั้นสอบสวนของนายประยุทธตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวจะเป็นทั้งพยานบอกเล่าและเป็นพยานซัดทอดด้วย ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 บัญญัติว่า ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของนายประยุทธดังกล่าวเมื่อฟังประกอบคำเบิกความของนางกุหลาบที่ได้เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน ยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายซึ่งได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของนางกุหลาบในชั้นพิจารณา พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษมา พยานหลักฐานโจทก์หาได้มีข้อพิรุธหรือมีน้ำหนักน้อยไม่พอฟังลงโทษจำเลยดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกาแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน