แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ส่งมอบสินค้าและการที่ทำชำรุดบกพร่อง จำเลยชอบที่จะยึดหน่วงราคาสินค้าและค่าสินจ้างไว้ได้ ดังนี้ การชำระหนี้จึงยังมิได้กระทำลงเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ จะถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันครบกำหนดชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 205 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย แต่เมื่อศาลกำหนดให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้ จึงเป็นหนี้เงินที่จำเลยต้องชำระตามคำพิพากษาและต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับ คือ นับจากวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นต้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,042,574 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,548,932 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,548,932 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน 493,642 บาท กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยซื้อสินค้าประเภทซอฟต์แวร์จากโจทก์และสินค้าที่โจทก์ขายและติดตั้งให้จำเลยนั้นมีปัญหาในการใช้งานจนโจทก์ต้องส่งคนมาแก้ไขให้นั้น เป็นเพียงสินค้าส่วนน้อยที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติเท่านั้น ที่จำเลยฎีกาว่าเมื่อโจทก์มิได้แก้ไขความชำรุดบกพร่องของสินค้าและการงานให้เสร็จ จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงไม่ต้องชำระราคาสินค้าและค่าสินจ้างแก่โจทก์นั้น เห็นว่า เมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงว่าสินค้าที่โจทก์ติดตั้งดังกล่าวใช้งานได้และจำเลยได้ใช้งานตั้งแต่ปี 2537 ตลอดมาจนถึงปี 2540 คงมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติเพียงส่วนน้อย ดังนี้ จำเลยชอบที่จะหักค่าเสียหายตามควรค่าแห่งการนั้นได้เท่านั้น ไม่ชอบที่ไม่ชำระราคาสินค้าและค่าสินจ้างเสียเลย ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 1,200,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงราคาสินค้าและค่าสินจ้างไว้ จำเลยจึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ราคาสินค้าและค่าสินจ้างจนกว่าโจทก์จะแก้ไขความชำรุดบกพร่อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้องนั้น เห็นว่า เมื่อมีการส่งมอบสินค้าและการที่ทำชำรุดบกพร่อง จำเลยชอบที่จะยึดหน่วงราคาสินค้าและค่าสินจ้างไว้ได้ ดังนี้ การชำระหนี้จึงยังมิได้กระทำลงเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบจะถือว่าจำเลยผิดนัดตั้งแต่วันครบกำหนดชำระหนี้ตามที่ตกลงกัน คือ วันที่ 30 ตุลาคม 2537 ตามฟ้องไม่ได้ ป.พ.พ. มาตรา 205 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย แต่เมื่อศาลกำหนดให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้ จึงเป็นหนี้เงินที่จำเลยต้องชำระตามคำพิพากษาและต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับ คือ นับจากวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 31 มกราคม 2544 เป็นต้นไป ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2544 เป็นต้นไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.