คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าว. ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทเมื่อจำเลยซื้อรถยนต์พิพาทจากว. จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์และไม่อาจนำรถยนต์พิพาทออกให้เช่าซื้อได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา572เมื่อจำเลยนำรถยนต์พิพาทออกให้เช่าซื้อโดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์การที่จำเลยฟ้องให้ว. และโจทก์รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทที่แท้จริงจึงถือได้ว่าจำเลยใช้สิทธิในการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์เมื่อจำเลยดำเนินการบังคับคดีเอาแก่โจทก์โดยอายัดเงินเดือนและเงินโบนัสของโจทก์จากการประปานครหลวงจำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีพร้อมด้วยดอกเบี้ยคืนโจทก์ คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันในฐานะโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจึงมีประเด็นพิพาทว่าโจทก์ผิดสัญญาหรือไม่เมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วต่อมาจึงทราบว่าในขณะที่ทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ที่เช่าซื้อโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยอ้างว่าจำเลยใช้สิทธิฟ้องคดีเดิมไม่สุจริตพร้อมกับเรียกเงินที่ได้จากการบังคับคดีของโจทก์คืนประเด็นพิพาทในคดีนี้จึงมีว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีคืนแก่โจทก์หรือไม่มิได้ฟ้องโดยอาศัยข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใดดังนั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกับคดีก่อนประเด็นที่วินิจฉัยมิใช่โดยอาศัยเหตุเดียวกันและมิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยนำสัญญาเช่าซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปฟ้องโจทก์เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตและปิดบังข้อความจริงต่อศาล ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 264,183.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปี จากต้นเงิน 261,178 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระเงินที่จำเลยอายัดไปเดือนละ 2,500 บาทนับแต่เดือนมกราคม 2536 เป็นต้นไป และชำระเงินโบนัสที่จำเลยอายัดไปตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะถอนการอายัด
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยใช้สิทธิโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายในอันที่จะบังคับชำระหนี้เอาแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 256,179 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระเงินส่วนที่ได้ดำเนินกิจการบังคับคดีไปแล้วในคดีหมายเลขดำที่ 2010/2530คดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยยังไม่ดำเนินการขอรับจากกรมบังคับคดี และที่จะเกิดขึ้นจากการบังคับคดีในคดีแพ่งดังกล่าวข้างต้นตลอดไป จนกว่าจะบังคับคดีในคดีแพ่งดังกล่าวจะสิ้นสุดลงแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ถูกอายัดเงินแต่ละจำนวนจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น คำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน 1 ฉ-2974 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถยนต์พิพาทที่จำเลยให้นายวิสุทธิ์ ขุมทองเช่าซื้อและโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน เป็นรถยนต์คันเดียวกันกับรถยนต์ที่นางรินสารรัก ซื้อจากบริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัด จำเลยฟ้องนายวิสุทธิ์และโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวและสัญญาค้ำประกันต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายวิสุทธิ์และโจทก์รับผิด ตามสำเนาคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530เอกสารหมาย จ.1 จำเลยได้บังคับคดีแก่โจทก์โดยอายัดเงินเดือนและเงินโบนัสของโจทก์จากการประปานครหลวงซึ่งเป็นนายจ้างผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่โจทก์ และจำเลยได้รับเงินจากการบังคับคดีไปบางส่วนแล้ว นอกจากนั้นนางรินได้ฟ้องบริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัดให้โอนทะเบียนรถยนต์พิพาทแก่นางริน ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัด โอนทะเบียนรถยนต์พิพาทให้นางริน หากโอนไม่ได้ให้ใช้ราคา 377,750 บาท ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2536 เอกสารหมาย จ.2 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530ของศาลชั้นต้นคืนแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีนางรินเบิกความว่านางรินไม่เคยขายรถยนต์พิพาทให้แก่นายวิสุทธิ์ ขณะเมื่อนางรินซื้อและรับมอบรถยนต์พิพาทจากบริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัดนางวิสุทธิ์ซึ่งเป็นพนักงานขายของบริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัดเป็นผู้นำสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มามอบให้แต่ไม่ใช่คู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาท เมื่อนางรินสอบถามนายวิสุทธิ์อ้างว่าหยิบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ผิดเล่มมาให้ ต่อมานางรินสอบถามบริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัด จึงทราบว่านายวิสุทธิ์ได้ขายรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยแล้ว นางรินไปพบผู้จัดการจำเลย พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่ารถยนต์พิพาทที่นายวิสุทธิ์ขายให้แก่จำเลยนั้นเป็นรถยนต์ของนางริน สำหรับลายมือชื่อของนางรินในหลักฐานการโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นลายมือชื่อปลอม นอกจากนั้นโจทก์ยังมีคำเบิกความของนายสันทัด มาลายเวช ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของจำเลยซึ่งเคยเบิกความไว้ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 21378/2530ของศาลชั้นต้นว่า ขณะที่นายวิสุทธิ์ติดต่อขายรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยนั้น ชื่อในทะเบียนรถยนต์ยังเป็นชื่อของนางริน หลักฐานการโอนมีชื่อนางรินเป็นผู้โอนและนายวิสุทธิ์เป็นผู้รับโอนเมื่อนายวิสุทธิ์โอนขายรถยนต์ให้แก่จำเลยแล้วจำเลยให้นายวิสุทธิ์เช่าซื้อ แต่นายวิสุทธิ์ไม่ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจำเลยจึงติดตามยึดรถยนต์พิพาทคืน ส่วนรถยนต์พิพาทอยู่ในความครอบครองของนางริน นางรินเคยไปติดต่อจำเลยและฝ่ายกฎหมายของจำเลย โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่า นายรินเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาทด้วยเงินสดและมีการแจ้งความดำเนินคดีนายวิสุทธิ์ในข้อหาฉ้อโกงและปลอมเอกสารแล้วเห็นว่า ขณะที่นายสันทัดเบิกความคดีดังกล่าวเป็นระยะเวลาภายหลังจากที่นายวิสุทธิ์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและโจทก์ทำสัญญาค้ำประกันแล้ว และเมื่อพิจารณาประกอบคำเบิกความของนางรินซึ่งเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียในคดีนี้ แสดงว่าก่อนที่จำเลยจะฟ้องนายวิสุทธิ์และโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันตามคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้นจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่านายวิสุทธิ์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท เมื่อจำเลยซื้อรถยนต์พิพาทจากนายวิสุทธิ์ จำเลยย่อมไม่ได้แสดงกรรมสิทธิ์และไม่อาจนำรถยนต์พิพาทออกให้เช่าซื้อได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ดังนั้น เมื่อจำเลยนำรถยนต์พิพาทออกให้เช่าซื้อ โดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อ สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ การที่จำเลยฟ้องให้นายวิสุทธิ์และโจทก์รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ตามคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทที่แท้จริง จึงถือได้ว่าจำเลยใช้สิทธิในการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์หาใช่เป็นการใช้สิทธิในการฟ้องคดีโดยสุจริตดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อจำเลยดำเนินการบังคับคดีเอาแก่โจทก์ โดยอายัดเงินเดือนและเงินโบนัสของโจทก์จากการประปานครหลวง จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยคืนแก่โจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีหมายเลขแดงที่ 1447/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยฟ้องโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ในฐานะโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจึงมีประเด็นพิพาทว่าโจทก์ผิดสัญญาหรือไม่ และเมื่อโจทก์แพ้คดีดังกล่าว ต่อมาโจทก์ทราบจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2536 ว่าในขณะที่ทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ที่เช่าซื้อโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยอ้างว่าจำเลยใช้สิทธิฟ้องคดีเดิมไม่สุจริตพร้อมกับเรียกเงินที่ได้จากการบังคับคดีของโจทก์คืน ประเด็นพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีคืนแก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งการฟ้องคดีนี้มิได้ฟ้องโดยอาศัยข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใด ดังนั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกันกับคดีประเด็นที่วินิจฉัยมิใช่โดยอาศัยเหตุเดียวกัน และมิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share