คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8136/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยและปรับ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คุมความประพฤติของจำเลยห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภท กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ต่อมาพนักงานคุมประพฤติรายงานว่าจำเลยยังคงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ประพฤติตามเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติตามที่ศาลกำหนด จึงให้ลงโทษจำคุกซึ่งรอการลงโทษไว้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งและศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญาฯ มาตรา 17 วรรคสองจำเลยจะฎีกาไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและสั่งรับฎีกาจำเลยมานั้น เป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปีและปรับ 10,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท รวมจำคุก 2 ปีและปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีคุมความประพฤติของจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้งภายในเวลาที่คุมความประพฤติ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภทกับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

ต่อมาพนักงานคุมประพฤติรายงานว่า ในระหว่างคุมความประพฤติจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายอีก 2 คดีตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 400/2543และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 925/2543 ของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติตามที่ศาลกำหนดศาลชั้นต้นสอบถามแล้ว จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามรายงานของพนักงานคุมประพฤติดังกล่าว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า แม้คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด แต่พฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยยังคงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติตามที่ศาลกำหนด จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปีตามโทษจำคุกซึ่งรอการลงโทษไว้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปีและปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คุมความประพฤติของจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้งภายในเวลาที่คุมความประพฤติ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภท กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ต่อมาพนักงานคุมประพฤติรายงานว่าจำเลยยังคงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติตามที่ศาลกำหนดจึงให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ตามโทษจำคุกซึ่งรอการลงโทษไว้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2522 มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share