คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2517

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริต จำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขตโฉนดที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่าได้ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 30 กว่าปี โดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดหรือไม่ ไม่รับรอง และโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต ดังนี้แม้ต่อมาจำเลยจะแถลงรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ก็มิทำให้ประเด็นข้อต่อสู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ของจำเลยต้องระงับไปเพราะการครอบครองปรปักษ์จะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นทั้งจำเลยก็ไม่ได้สละประเด็นเรื่องโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตการที่ศาลชั้นต้นถือเอาคำแถลงรับของจำเลยดังกล่าวมาสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2346 ตำบลเขาพระ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 6 ไร่ 44 ตารางวา โดยซื้อจากนางปี อินทร์โต โดยสุจริต เป็นเงิน 8,400 บาท และได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2512 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2513 โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานรังวัดของสำนักงานที่ดินจังหวัดสุพรรณบุรีไปทำการรังวัดสอบเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยได้คัดค้านไม่ยอมให้โจทก์นำพนักงานรังวัดรังวัดที่ดินตอนเหนือในโฉนดดังกล่าวของโจทก์โดยมิชอบ โจทก์จึงไม่สามารถทำการรังวัดเพื่อได้ทราบเขตโฉนดของโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหายและโจทก์ได้รับความยินยอมอนุญาตจากสามีให้ฟ้องคดีนี้แล้ว ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2346 ตำบลเขาพระ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 6 ไร่ 44 ตารางวา ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือขัดขวางการกระทำของโจทก์ในที่ดินโฉนดของโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องใช้จ่ายในการนำพนักงานไปทำการรังวัดไม่ได้ กับให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยได้คัดค้านการรังวัดที่ดินด้านทิศเหนือของโจทก์จริง โดยโจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดเข้าไปจะรังวัดในที่ดินของจำเลยซึ่งได้ก่อสร้างเป็นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษและได้ครอบครองมาประมาณ 30 กว่าปีโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิของจำเลยและที่ดินที่โจทก์ฟ้องจะอยู่ในโฉนดของโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่รับรอง การซื้อขายที่ดินของโจทก์กับนางปีกระทำไปโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนจำเลย

ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อเดียวว่า จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทดังจำเลยต่อสู้จริงหรือไม่ และให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานจำเลย ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 28 ธันวาคม 2513 ของศาลชั้นต้นว่า “คู่ความแถลงรับกันว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2346 ตำบลเขาพระ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรีตามฟ้อง เป็นของโจทก์จริง” ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และให้ (คู่ความ) รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกันนั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยยอมรับว่าที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวในฟ้องเป็นของโจทก์แล้ว จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบต่อไป ส่วนค่าเสียหายโจทก์มิได้บรรยายจำนวนเงินมา และการซื้อขายระหว่างโจทก์กับนางปีไม่สุจริตอย่างไร จำเลยมิได้กล่าวไว้ จึงไม่มีประเด็นจะนำสืบพิพากษาว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2346 ตำบลเขาพระ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 6 ไร่ 44 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือขัดขวางการกระทำของโจทก์ในที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นนี้ 100 บาทแทนโจทก์

จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้ว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเจ้าของโดยความสงบและเปิดเผยติดต่อกันมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้ว จำเลยยอมรับแต่เพียงว่าที่ดินโฉนดที่ 2346 มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของเท่านั้น มิได้ยอมรับว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป

ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ปรากฏตามคำแถลงรับของคู่ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2513 ว่า “คู่ความแถลงรับกันว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2346 ตำบลเขาพระ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรีตามฟ้องเป็นของโจทก์จริง” ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยจะฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยยอมรับแต่เพียงว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดเลขที่ 2346 จริงเท่านั้น โดยจำเลยมิได้โต้แย้งข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกและอ่านให้คู่ความฟังว่าไม่ถูกต้องอย่างไรหาอาจรับฟังได้ไม่ ต้องรับฟังตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ แต่ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าการที่จำเลยแถลงรับ เช่นนั้น มิได้ทำประเด็นข้อต่อสู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ของจำเลยต้องระงับไปเพราะการครอบครองปรปักษ์นี้จะเกิดมีขึ้นได้ในที่ดินของผู้อื่นและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยข้อนี้กับประเด็นเรื่องการซื้อขายของโจทก์เป็นไปโดยไม่สุจริตด้วย การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงไม่ชอบฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานในประเด็นที่จำเลยอ้างการครอบครองปรปักษ์และอ้างว่าการซื้อขายของโจทก์เป็นไปโดยไม่สุจริตให้เสร็จสิ้นกระแสความและพิพากษาไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมทั้งค่าทนายความทั้ง 3 ศาลให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share