คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13815/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยชักชวนและสนับสนุนให้พนักงานขายใต้บังคับบัญชาขายสินค้าของภริยาโจทก์ชนิดเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวนอกจากจะเป็นการประพฤติตนอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตแล้ว ยังถือได้ว่าโจทก์ประพฤติชั่ว ไม่ซื่อตรง อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 กรณีร้ายแรงอีกด้วย จำเลยที่ 1 ไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 434,984 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 54,373 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 543,730 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์ 167,528.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การ แก้ไขคำให้การ ฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งว่า ขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 6,154,698 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,114,698 บาท นับแต่วันที่ได้รับเงินเดือนดังกล่าวเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 ไม่ให้การ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชย 434,984 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ค้าง 11,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 2 มีนาคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมของโจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกและยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2541 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย เขตกรุงเทพมหานคร แผนกยานยนต์ มีรายได้อัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือน 42,833 บาท ค่าน้ำมันรถ 9,000 บาท และค่าโทรศัพท์ 2,500 บาท แต่ตามเอกสารจำเลยที่ 1 ได้จ่ายค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์แก่โจทก์จำนวนดังกล่าวคงที่ทุกเดือน เงินดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้างด้วย โจทก์จึงได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 54,373 บาท ระหว่างโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 นางวรรณาภริยาโจทก์เคยให้โจทก์นำสินค้าน้ำยาหล่อเย็นยี่ห้อราเดียเตอร์ไปส่งให้แก่นายวรเชษฐ์ พนักงานขายซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ โจทก์เคยชักชวนและสนับสนุนให้พนักงานขายใต้บังคับบัญชาของโจทก์ขายสินค้าของภริยาโจทก์ชนิดเดียวกันกับของจำเลยที่ 1 ให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 และรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เสียหายเนื่องจากยอดขายตก โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 แต่พฤติการณ์ของโจทก์ที่เคยชักชวนและสนับสนุนให้พนักงานขายใต้บังคับบัญชาของโจทก์ขายสินค้าอื่นที่ไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 นับว่าเป็นการปฏิบัติตนไม่สมควรและไม่เหมาะสมต่อตำแหน่งหน้าที่ จำเลยที่ 1 ชอบที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ไม่ถือว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 กรณีร้ายแรง โจทก์เป็นสมาชิกกองทุนจำเลยที่ 2 ได้เพียง 3 ปี 8 เดือน จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบส่วนของนายจ้างพร้อมผลประโยชน์ แต่คงมีสิทธิได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมตามข้อ 9.2 และ 3.3.4 ของข้อบังคับกองทุนจำเลยที่ 2
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อ 2.1 ของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 กรณีร้ายแรงหรือไม่ คดีนี้ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า โจทก์เคยชักขวนและสนับสนุนให้พนักงานขายใต้บังคับบัญชาขายสินค้าของภริยาโจทก์ชนิดเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าว นอกจากจะเป็นการประพฤติตนอันไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตแล้ว ยังถือได้ว่าโจทก์ประพฤติชั่ว ไม่ซื่อตรง อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 กรณีร้ายแรงอีกด้วย จำเลยที่ 1 ไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share