คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้าง ม. เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินกิจการแทน ต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เข้าหุ้นกันตั้งห้าง ส. เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เพื่อขยายกิจการค้าของห้าง ม. และจำเลยที่ 1 ได้ทำการค้าของห้าง ส. ต่อมาในนามของห้าง ม. โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่จำเลยทั้งสามประกอบการค้าร่วมกันดังกล่าว จึงเป็นการเข้าหุ้นส่วนกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทและเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ เป็นการทำแทนห้าง ส. แต่ใช้ชื่อห้าง ม. จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ชื่อ “มรกต” หรือ “แสงมรกต” ในการทำนิติกรรมต่าง ๆ กับโจทก์ และบุคคลอื่น จำเลยใช้ชื่อหุ้นส่วนว่ามรกตหรือแสงมรกต จำเลยที่ ๑ ในนามห้างมรกตได้ทำหนังสือใบรับสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) และสัญญาจะชำระเงินตามตั๋วแลกเงิน ๒ ฉบับไว้ต่อโจทก์โดยจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกันสัญญา แต่เมื่อหนี้ตามสัญญาดังกล่าวถึงกำหนดชำระ จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์คิดเป็นหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีจากวันผิดนัดถึงวันฟ้องรวมทั้งสิ้นที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ ๒๕๒,๗๕๘.๘๒ บาท กับจำเลยที่ ๑ ได้ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อกระดาษอัดรูป โดยจำเลยสัญญายินยอมให้ผู้ขายสินค้ามีอำนาจออกตั๋วแลกเงินสั่งจ่ายเอากับจำเลยในชื่อร้านมรกต โจทก์ไปเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้และจ่ายเงินให้ผู้ขายสินค้าเป็นเงิน ๓,๐๒๐ เหรียญอเมริกันเท่ากับ ๑๔๗,๔๒๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ กลับผิดสัญญาจึงต้องรับผิดใช้เงินที่กล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๘๔,๘๒๑.๒๐ บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสี่รวมกันชำระหนี้ตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปีในต้นเงินจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนในห้างมรกตห้างมรกตและห้างแสงมรกตเป็นคนละห้างต่างหากจากกัน จำเลยที่ ๑ในนามห้างมรกตไม่ได้ทำสัญญา ใบรับสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) ไม่ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ หากเป็นจริงดังฟ้อง ก็เป็นการกระทำในนามของจำเลยที่ ๑ ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่ได้จ่ายเงินให้ผู้ขายสินค้าดังฟ้องจำเลยที่ ๒ ไม่ได้รับหนังสือทวงถาม
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ห้างมรกตและห้างแสงมรกตมีฐานะคนละคนไม่เกี่ยวพันกัน ห้างมรกตมีนางสมใจภรรยาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการและจำเลยที่ ๑ เป็นหุ้นส่วน ส่วนห้างแสงมรกตมีนายบักเตียงจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงหุ้นส่วนเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๓ เมื่อจดทะเบียนพาณิชย์แล้วห้างแสงมรกตไม่ได้กระทำกิจการค้าใด ๆ เลย และจำเลยที่ ๓ ได้ถอนตัวจากหุ้นส่วนในห้างแสงมรกตแล้วจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาใบรับสินค้าเชื่อในนามห้างมรกตไม่ผูกพันห้างแสงมรกตซึ่งจำเลยที่ ๒ ผู้จัดการไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ กระทำสัญญาใด ๆ หรือกระทำกิจการใด ๆ แทนห้างแสงมรกต จำเลยที่ ๓ ไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวใด ๆ จากโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาใบรับสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) และขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามฟ้องกับโจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดใช้เงินและดอกเบี้ย หนี้สินตามฟ้องเกิดขึ้นในระหว่างที่ยังเป็นหุ้นส่วนกันอยู่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๔ เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเฉพาะสัญญาทรัสต์รีซีท คงต้องรับผิดเพียงนั้น พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชำระหนี้และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๕๒,๒๐๒.๓๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๓๑๘,๘๕๕ บาท๔๐ สตางค์ จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้จำเลยที่ ๔ ชำระแทนในวงเงินไม่เกิน ๑๗๘,๗๔๓.๔๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๒ จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาได้ความว่า ห้างมรกตและห้างแสงมรกตเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีสำนักงานอยู่ห้องเดียวกันคือห้องเลขที่ ๖๐๗ ถนนบำรุงเมือง ห้างมรกตนั้นนางสมใจ ทับศิลา ภรรยาจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์เพื่อประกอบการค้ากล้องถ่ายรูป เครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปและเครื่องเขียนแบบเรียน จำนวนเงินทุน ๒๐,๐๐๐ บาท มีนางสมใจ ทับศิลาเป็นเจ้าของและผู้จัดการ เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนพาณิชย์เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๐๗ และปรากฏหลักฐานในสำเนาคำขอจดทะเบียนพาณิชย์เอกสารหมาย ล.๑ ว่า ต่อมาห้างนี้ได้จดทะเบียนเลิกไปแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าเลิกเมื่อใด ส่วนห้างแสงมรกต จำเลยที่ ๒ ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์เพื่อประกอบการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปจำนวนเงินทุน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นผู้ถือหุ้นเจ้าพนักงานรับจดทะเบียนพาณิชย์เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๐๘ สำหรับห้างมรกตเมื่อจดทะเบียนแล้วก็ประกอบการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปตลอดมา โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ดำเนินกิจการแทนนางสมใจ ทับศิลาและวินิจฉัยว่า ห้างมรกตและห้างแสงมรกตเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แม้จะแยกกันจดทะเบียนพาณิชย์แต่การที่ห้างทั้งสองประกอบพาณิชย์กิจเกือบจะเป็นประเภทเดียวกัน คือห้างแสงมรกตทำการค้ากล้องถ่ายรูปเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูป ส่วนห้างมรกตทำการค้ากล้องถ่ายรูปเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปและเครื่องเขียนแบบเรียน ที่ตั้งของสำนักงานก็อยู่ห้องเดียวกัน ส่วนป้ายหน้าร้านมีแต่ป้ายของห้างมรกตสำหรับการดำเนินกิจการของห้าง แม้ห้างมรกตจะจดทะเบียนพาณิชย์ว่านางสมใจ ทับศิลาเป็นผู้จัดการ แต่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสามีของนางสมใจก็เป็นผู้ดำเนินกิจการแทน ทั้งจำเลยที่ ๑ ก็เป็นหุ้นส่วนของห้างแสงมรกตด้วยห้างมรกตประกอบการค้าตลอดมานับแต่จดทะเบียนพาณิชย์ แต่ไม่ปรากฏว่าห้างแสงมรกตได้ทำการค้าในนามของตนเองเลย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าห้างแสงมรกตไม่ได้ทำการค้า เพราะนับแต่วันจดทะเบียนพาณิชย์จนถึงวันฟ้องก็เป็นเวลาถึง ๗ ปีเศษ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ห้างแสงมรกตจะจดทะเบียนพาณิชย์และตั้งสำนักงานไว้เฉย ๆ โดยไม่ประกอบการค้า พฤติการณ์น่าเชื่อตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เข้าหุ้นกันจดทะเบียนพาณิชย์ตั้งห้างแสงมรกตประกอบการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปเพื่อขยายกิจการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปของห้างมรกตเดิมของจำเลยที่ ๑ ภรรยานั้นเอง แต่เนื่องจากจำเลยที่ ๑ มีความชำนาญทางการค้าประเภทนี้อยู่แล้ว จำเลยที่ ๑ จึงทำการค้ากล้องถ่ายรูปและเครื่องอุปกรณ์การถ่ายรูปของห้างแสงมรกตต่อมาในนามของห้างมรกต โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ การที่จำเลยทั้งสามและจำเลยที่ ๑ กับภรรยาประกอบการค้าร่วมกันดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการเข้าหุ้นส่วนกัน เมื่อจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาทรัสต์รีซีทและเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามฟ้องเป็นการทำแทนห้างแสงมรกต แต่ใช้ชื่อห้างมรกตดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์
พิพากษายืน

Share