คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ธนาคารโจทก์กับสาขาต่างประเทศและสาขากรุงเทพฯ เป็นนิติบุคคลเดียวกัน เมื่อสาขาธนาคารโจทก์ที่ต่างประเทศส่งเงินมาให้สาขากรุงเทพฯ ใช้เป็นเงินกองทุนและเป็นเงินทุนหมุนเวียนของสาขากรุงเทพฯ แม้เงินที่ส่งมานั้นจะเคยเป็นเงินฝากของลูกค้าของสาขาต่างประเทศซึ่งมีความผูกพันจะต้องจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ฝากก็ตามการที่สาขากรุงเทพฯ ส่งดอกเบี้ยสำหรับเงินจำนวนนี้ไปให้สาขาต่างประเทศก็เป็นเพียงการผ่อนภาระของสาขาต่างประเทศเท่านั้นมิใช่รายจ่ายโดยตรงของสาขากรุงเทพฯ ถือได้ว่าเป็นรายจ่ายซึ่งกำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริงและเป็นค่าตอบแทนแก่ทรัพย์สินซึ่งนิติบุคคลเป็นเจ้าของเองและใช้เอง ทั้งเป็นดอกเบี้ยที่คิดให้สำหรับเงินทุน เงินสำรองต่างๆ หรือเงินกองทุนของตนเองตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (9)(10)(11) ซึ่งมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ จึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อหากำไรสุทธิในการเสียภาษีเงินได้
บริษัท ป. กู้เงินจากสาขาธนาคารโจทก์ที่ต่างประเทศดอกเบี้ยที่บริษัท ป. ขอให้สาขากรุงเทพฯ หักจากบัญชีเงินฝากของบริษัท ป. ส่งไปให้สาขาต่างประเทศ ถือว่าเป็นรายได้ของโจทก์ที่จะต้องนำไปรวมคำนวณหากำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกันและการที่สาขากรุงเทพฯ ส่งเงินดอกเบี้ยทั้งสองรายนี้ออกไปให้สาขาต่างประเทศย่อมเป็นการจำหน่ายกำไรออกจากประเทศไทยจึงต้องเสียภาษีเงินได้อัตราร้อยละ 15 ตาม ป.รัษฎากรมาตรา 70 ทวิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดตามกฎหมายอังกฤษมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาณานิคมฮ่องกง มีสาขาทั่วโลก รวมทั้งสาขากรุงเทพฯสาขากรุงเทพฯ ได้ยืมเงินฝากของลูกค้าจากสาขานิวยอร์ค ลอนดอน และสาขาอื่นมาเป็นเงินกองทุน ตามพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ได้ส่งดอกเบี้ยไปใช้สาขาที่ยืม รวมเป็นเงิน 9,875,029 บาท71 สตางค์ แล้วตั้งเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการ และได้ส่งเงินดอกเบี้ยที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด กู้จากสาขานิวยอร์ค รวมเป็นเงิน 1,692,096 บาท80 สตางค์ ได้เสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70(2) แล้ว เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ถือว่าดอกเบี้ยเงินกู้ของสาขากรุงเทพฯ ที่ส่งไปนั้นเป็นรายจ่ายอันต้องห้ามมิให้หักตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(9)(10)(11)สั่งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่ม และถือว่าเป็นการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยต้องเสียภาษีร้อยละ 15 ตามมาตรา 70 ทวิ และเรียกเก็บจากดอกเบี้ยของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด รวมเป็นเงินที่เรียกเก็บจากโจทก์ 3,396,691 บาท 30 สตางค์ กับให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ตามมาตรา 27 โจทก์อุทธรณ์การประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยประมวลรัษฎากรแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

คดีได้ความว่า สาขาของธนาคารโจทก์ที่นิวยอร์คและลอนดอนส่งเงินฝากของลูกค้าสาขานิวยอร์ค ลอนดอน มาให้สาขากรุงเทพฯ โดยวิธีหักทอนบัญชีกันตามสเตทเม้นท์แอคเค้านท์ เอกสาร จ.1 สาขากรุงเทพฯ เสียดอกเบี้ยให้ร้อยละ 4 – 5 ถ้ากู้จากที่อื่นจะเสียดอกเบี้ยประมาณร้อยละ 9 สาขากรุงเทพฯจะได้ดอกเบี้ยจากลูกค้าที่กู้ไปไม่เกินร้อยละ 14 สาขากรุงเทพฯ จึงมีกำไร เมื่อส่งดอกเบี้ยออกไปจากประเทศไทย ได้ตั้งเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการและบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัดกู้เงินจากสาขานิวยอร์ค ตามเอกสาร จ.3 แล้วขอให้สาขากรุงเทพฯ ซึ่งบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัดมีบัญชีฝากเงิน ส่งดอกเบี้ยให้โดยวิธีหักเงินในบัญชีฝากเงินของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่สาขากรุงเทพฯ ส่งออกไปจากประเทศไทยนั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์กับสาขาต่างประเทศและสาขากรุงเทพฯ เป็นนิติบุคคลเดียวกันเงินที่สาขาต่างประเทศส่งมาใช้เป็นเงินกองทุนและเป็นเงินทุนหมุนเวียนตามฟ้องต้องถือว่าเป็นเงินทุนและเงินสำรองของโจทก์ เพราะพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์พ.ศ. 2505 มาตรา 10, 12 ประกอบด้วยมาตรา 6 วรรคสอง มีเจตนารมณ์ให้ธนาคารพาณิชย์มีฐานะมั่นคงปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้เป็นลูกค้าหรือผู้ติดต่อทำธุรกิจ ไม่ประสงค์และไม่ได้บัญญัติให้ธนาคารสาขามีเงินทุน เงินสำรองต่าง ๆหรือเงินกองทุนของตนเองแยกต่างหากจากสำนักงานใหญ่และสาขาอื่น ๆและแม้เงินที่ส่งมานั้นจะเคยเป็นเงินฝากของลูกค้าของสาขาต่างประเทศที่มีความผูกพันจะต้องจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ฝาก ดอกเบี้ยนั้นโดยแท้ก็เป็นการจ่ายเพื่อผ่อนภาระของสาขาต่างประเทศเอง มิใช่รายจ่ายโดยตรงของสาขากรุงเทพฯถือได้ว่าเป็นรายจ่ายซึ่งกำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง และการให้ดอกเบี้ยแก่กันเช่นนี้ คือการส่งผลกำไรออกไป ให้แก่ตนเองในต่างประเทศ ย่อมเป็นค่าตอบแทนแก่ทรัพย์สิน ซึ่งนิติบุคคลเป็นเจ้าของเองและใช้เอง ทั้งเป็นดอกเบี้ยที่คิดให้สำหรับเงินทุน เงินสำรองต่าง ๆ หรือเงินกองทุนของตนเอง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(9)(10)(11) ซึ่งไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ จึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อหากำไรสุทธิในการเสียภาษีเงินได้ส่วนดอกเบี้ยของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัดที่ให้สาขากรุงเทพฯ ส่งออกไปจากประเทศไทย แม้จะเป็นดอกเบี้ยของเงินที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัดกู้มาจากสาขานิวยอร์ค ก็ต้องถือว่าเป็นรายได้ที่จะต้องนำไปรวมคำนวณหากำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วยเหตุผล อย่างเดียวกับดอกเบี้ยเงินกู้ของสาขากรุงเทพฯ ที่ส่งออกไปจากประเทศไทยดังกล่าว การส่งดอกเบี้ยออกไปจากประเทศไทยทั้งสองกรณีตามฟ้อง จึงเป็นการจำหน่ายเงินกำไรออกจากประเทศไทย ต้องเสียภาษีเงินได้อัตราร้อยละ 15 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 ทวิ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้ทำการประเมินเรียกเก็บและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว

พิพากษายืน

Share