แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่พิพาทไว้กับ ล. ครบกำหนดแล้วไม่ไถ่จำเลยเช่าที่พิพาทจาก ล. ล. ขายที่พิพาทให้โจทก์ครบอายุสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ออกไป ขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การว่าไม่เคยขายฝากแก่ใคร ไม่ได้ทำสัญญาเช่า แล้วจำเลยจะอุทธรณ์ว่าการเช่านั้นเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้บอกเลิกการเช่าเสียก่อนดังนี้ หาได้ไม่ เพราะจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อนี้ให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 5 เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2512
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองได้ซื้อที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 75.3 ตารางวา จากนางลูกอินทร์ เชนยะวณิช เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดให้เลขที่ 1666 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2509 ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นของจำเลยและมีเรือนของจำเลยปลูกอยู่ 1 หลัง ต่อมาจำเลยขายฝากเฉพาะที่ดินแก่นางลูกอินทร์ เชนยะวณิช แล้วไม่ไถ่ถอน ที่ดินจึงเป็นสิทธิแก่นางลูกอินทร์ เชนยะวณิช นางลูกอินทร์ ให้จำเลยเช่าเป็นเวลา 1 ปี ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วโจทก์แจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปและรื้อโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยรื้อโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องไม่ใช่ของโจทก์ ๆ จะซื้อจากใครจำเลยไม่ทราบ เป็นที่ดินของจำเลยได้รับมรดกปกครองตลอดมา 35 ปีแล้วอาณาเขตที่ดินติดต่อไม่ใช่ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยขายฝากที่ดินแก่ใคร สัญญาขายฝากที่โจทก์อ้าง จำเลยไม่ได้ลงชื่อ และสัญญาเช่าจำเลยก็ไม่ได้ทำและไม่ได้ลงชื่อ โจทก์กับพวกสมคบกันทำขึ้นเอง โจทก์ไม่เคยบอกให้จำเลยออกจากที่ดิน จะขับไล่จำเลยไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝากนางลูกอินทร์ เชนยะวณิช เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาขายฝากแล้ว จำเลยไม่ไถ่ ที่พิพาทจึงตกเป็นของนางลูกอินทร์ เชนยะวณิช แล้วจำเลยได้เช่าที่พิพาทจากนางลูกอินทร์ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2508ถึงวันที่ 7 มกราคม 2509 ต่อมานางลูกอินทร์ เชนยะวณิช ขายที่พิพาทให้โจทก์ เมื่อครบอายุสัญญาเช่าโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้า จึงพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากที่พิพาท และให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์ว่า แม้หนังสือสัญญาเช่าจะกำหนดระยะเวลา แต่เมื่อครบแล้ว จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทอยู่ โจทก์มิได้ทักท้วงต้องถือว่าได้มีการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา เมื่อโจทก์มิได้บอกเลิกการเช่าก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ปรึกษาแล้วฟังว่า สัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างนางลูกอินทร์ เชนยะวณิชกับจำเลยเป็นสัญญามีกำหนดระยะเวลาเช่ากัน1 ปี โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวก่อน และหลังจากครบกำหนดในสัญญาเช่าแล้ว โจทก์มิได้ไปเก็บค่าเช่าจากจำเลย ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะผู้เช่าต่อมา ไม่เป็นการเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 570 จึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่าของจำเลยแม้สิ้นกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 564 แต่ตามมาตรา 570 ผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินอยู่และผู้ให้เช่ารู้ความแล้วมิได้ทักท้วงท่านถือว่าทำสัญญาเช่ากันใหม่โดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ต้องบอกกล่าวเลิกการเช่าเสียก่อน จึงจะมีอำนาจฟ้องขับไล่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินพิพาทให้กับนางลูกอินทร์ เชนยะวณิช ครบกำหนดแล้วไม่ได้ไถ่ จำเลยได้เช่าที่พิพาทจากนางลูกอินทร์ เชนยะวณิช มีกำหนด1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2508 ถึงวันที่ 7 มกราคม 2509 และนางลูกอินทร์ เชนยะวณิชได้ขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อครบอายุสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ให้จำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยไม่ออก ขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การเพียงว่า ไม่เคยขายฝากที่ดินแก่ใคร และสัญญาเช่าจำเลยก็ไม่ได้ทำและไม่ได้ลงชื่อไว้ จำเลยไม่ได้ต่อสู้โดยแจ้งชัดว่า จำเลยได้เช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา ฉะนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าเรื่องนี้เป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่าก่อนก็ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการอุทธรณ์ในประเด็นที่จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยจะยกประเด็นข้อนี้อุทธรณ์ฎีกาต่อไปไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้มา ก็เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืนโดยผล ให้ยกฎีกาจำเลย ให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นฎีกา 200 บาทแทนโจทก์