แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ตั้งทุนทรัพย์ ไว้ในฟ้อง 2,500 บาทมาในชั้นฎีกามีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แก้ไขใหม่ว่าทุนทรัพย์ไม่เกิน5,000 บาท ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ดั่งนี้ กฎหมายที่แก้ใหม่เป็นวิธีสบัญญัติ ใช้บังคับได้ทันที โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาเสมอไป หากพยานหลักฐานมีอย่างไรในสำนวนศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยตามนั้นได้เมื่อมีประเด็น
ย่อยาว
ที่พิพาทในคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าเป็นของโจทก์ เดิมนายโฉมบิดาโจทก์นำไปขายฝากไว้แก่นายจีนบิดาจำเลย ฝ่ายจำเลยให้การว่าเป็นของจำเลยโดยนายจีนบิดาจำเลยแบ่งให้จำเลยได้ครอบครองตลอดมา
ศาลชั้นต้นเชื่อว่านายโฉมได้ขายฝากที่พิพาทให้แก่นายจีนโดยให้นายจีนทำนาพิพาทกินต่างดอกเบี้ยจริง แต่นายจีนแสดงเจตนาเปลี่ยนแปลงการครอบครองจากการครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ยมาเป็นเจตนาครอบครองเพื่อตนเอง ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าได้มีการขายฝากแม้นายโฉมและโจทก์จะมีชื่อในโฉนด แต่เมื่อปล่อยให้นายจีนและจำเลยครอบครองเพื่อตนเองต่อเนื่องมาถึง 30 ปี โดยเฉพาะจำเลยถึง 10 ปีกว่า ดังนี้ จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 จึง พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า
(1) โจทก์ตั้งทุนทรัพย์ไว้ในฟ้อง 2,500 บาทก็จริง แต่มาในชั้นฎีกา พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.แพ่ง ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2499 ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท กฎหมายที่แก้ใหม่นี้ เป็นวิธีสบัญญัติไม่ใช่สาระบัญญัติ จึงใช้บังคับทันทีได้ โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
(2) ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาเสมอไป เมื่อพยานหลักฐานมีอย่างไรในสำนวนแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยตามนั้นได้ เมื่อมีประเด็น
(3) การที่นายจีนเปลี่ยนเจตนาจากยึดถือที่นาทำกินต่างดอกเบี้ยเป็นเจตนายึดถือเพื่อตนนั้น นายจีนจะบอกกล่าวการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นไปยังนายโฉมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบ เมื่อเป็นข้อเท็จจริง โจทก์ก็ฎีกาไม่ได้ดังวินิจฉัยไว้แล้ว
จึงพิพากษายืน