คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีเดิมศาลได้วินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า รูปแผนที่แบ่งแยกตามที่ช่างแผนที่สำนักงานที่ดินจังหวัดทำมาถูกต้องตรงตามข้อตกลงของโจทก์จำเลยในชั้นบังคับคดีแล้ว ให้จำเลยจัดการแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 1488 ให้แก่โจทก์ไปตามรูปแผนที่แบ่งแยกนั้นซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินก็ได้จัดการแบ่งแยกออกเป็นโฉนดเลขที่ 17364 ให้แก่โจทก์ไปแล้ว คดีนี้จำเลยซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันกับในคดีก่อนได้ยกข้อต่อสู้และฟ้องแย้งว่ารูปแผนที่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 17364 ไม่ถูกต้องขึ้นมาอีก เป็นเรื่องที่จำเลยรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
โจทก์ร้องขอแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดเลขที่ 17364 เพื่อขายให้แก่ บ. กับพวกจำเลยทราบแล้วยังไปคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยรู้อยู่แล้วว่าโฉนดดังกล่าวออกมาโดยชอบ เป็นการจงใจกระทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่สิทธิที่จะขายที่ดินและได้รับเงินจาก บ. กับพวกผู้ซื้อ จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลืออีก 600,000 บาท จาก บ. กับพวก ซึ่งถ้าโจทก์นำไปฝากธนาคารจะได้ดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การนำชี้รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 17364 ตำบลคลองราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ในวันที่ 1 สิงหาคม 2523 เป็นการถูกต้อง ให้จำเลยยื่นคำขอถอนคำคัดค้านแนวเขตที่ดินลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2523 หากจำเลยไม่ถอนคำคัดค้านก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 4 เป็นเงิน60,000 บาท และค่าเสียหายร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงิน 600,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะถอนคำคัดค้านและชำระหนี้เสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่า แผนที่หลังโฉนดเลขที่ 17364 ตำบลคลองราชาเทวะ อำเภอบางพลีเป็นโมฆะ ให้ทำการรังวัดใหม่ให้ตรงตามแผนที่พิพาทในสำนวนของศาลฎีกาที่ 1194-1195/2504 และที่ 183-184/2510 (คดีแพ่งหมายเลขแดงที่120-121/2501 ของศาลชั้นต้น) ให้ด้านทิศตะวันออกยาวสุดเขตโฉนดโดยไม่ตัดถนนสาธารณะเข้าไปอยู่ในโฉนดเลขที่ 1488 ของจำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งไม่เคลือบคลุมคำฟ้องแย้งไม่เป็นฟ้องซ้ำและไม่ขาดอายุความ การออกโฉนดที่ดินของโจทก์ไม่ถูกต้อง จำเลยคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ได้พิพากษาว่า การออกโฉนดที่ดินเลขที่ 17364 ตำบลคลองราชาเทวะอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ไม่ถูกต้อง ให้ทำการรังวัดรูปแผนที่หลังโฉนดใหม่ โดยให้จำนวนเนื้อที่ที่ถูกหักเป็นถนนรวมอยู่ในที่ดินเป็นจำนวน 40 ไร่ ที่โจทก์ได้มาตามคำพิพากษาฎีกาที่1194-1195/2504 ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยไปถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 17364 ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงิน600,000 บาท นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2524 ไปจนกว่าจำเลยจะถอนคำคัดค้าน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความสองศาลรวม 1,500 บาท และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาพิจารณาตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 120-121/2501และที่ 239/2512 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 120-121/2501 และที่ 239/2512 ของศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 183-184/2510 และที่ 1544/2517ตามลำดับ โดยศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ทำนองเดียวกันว่า รูปแผนที่แบ่งแยกตามที่ช่างแผนที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการทำมานั้นถูกต้องตรงตามข้อตกลงของโจทก์จำเลยแล้ว ให้โจทก์จัดการแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 7 ไปตามรูปแผนที่แบ่งแยกดังกล่าวหากจำเลยไม่จัดการแบ่งแยกก็ให้มีหนังสือแจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการจัดการแบ่งแยกให้ต่อไป ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินก็ได้จัดการแบ่งแยกออกโฉนดเลขที่ 17364 ให้แก่นางสวิงกับพวกไปแล้ว คดีนี้จำเลยซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันในคดีก่อนได้ยกข้อต่อสู้และฟ้องแย้งว่า รูปแผนที่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 17364 ไม่ถูกต้องขึ้นมาอีก ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นเรื่องจำเลยรื้อฟ้องร้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิที่จะคัดค้านแนวเขตที่ดินของโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิดนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าในการรังวัดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1488 เพื่อแบ่งแยกให้นางสวิง ชูฟ้า โจทก์ที่ 1 กับพวกในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1194-1195/2504 จำเลยคัดค้านว่าเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินไม่ตรงตามคำพิพากษาดังกล่าว ขอให้ทำการรังวัดใหม่จนศาลฎีกาพิพากษาว่าเจ้าหน้าที่รังวัดเพื่อแบ่งแยกโฉนดตรงตามข้อตกลงของคู่ความและถูกต้องแล้ว ทั้งจำเลยยังได้ฟ้องกรมที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการเป็นจำเลยร่วมกับโจทก์ในคดีนี้อ้างว่ารังวัดไม่ชอบขอให้รังวัดใหม่ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่า แผนที่ที่เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกถูกต้องแล้ว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1544/2517 ต่อมาได้มีการออกโฉนดเลขที่ 17364 ตามแผนที่แบ่งแยกดังกล่าวแล้ว แต่เมื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 4 ร้องขอแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดเลขที่ 17364เพื่อขายให้แก่นายบรรจงกับพวกโดยได้มอบที่ดินให้นายบรรจงกับพวกครอบครองสร้างโรงงานขึ้นในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ที่ 4 ที่ตกลงจะซื้อขายและโจทก์ก็ทราบแล้ว แต่โจทก์ยังไปคัดค้านการรังวัดเพื่อแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 17364 ต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยรู้อยู่แล้วว่าโฉนดดังกล่าวออกโดยชอบ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์ที่ 1 ที่ 4 โดยผิดกฎหมายทำให้โจทก์ที่ 1ที่ 4 เสียหายแก่สิทธิที่จะขายที่ดินดังกล่าวและได้รับเงินจากนายบรรจงกับพวกผู้ซื้อ จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 4 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีก
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี ไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่จำเลยคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่นายบรรจงและนายวีระผู้จะซื้อไม่ได้ โจทก์ที่ 1 และที่ 4 จึงยังไม่ได้รับเงินส่วนที่เหลืออีก 600,000 บาท โจทก์ที่ 1 เบิกความว่าหากจำเลยไม่คัดค้านการแบ่งแยกโฉนด โจทก์ที่ 1 ที่ 4 จะได้รับเงินค่าที่ดินที่เหลืออีก 600,000 บาท จากนายบรรจงกับพวกผู้ซื้อ ถ้าโจทก์ที่ 1 ที่ 4 นำไปฝากประจำธนาคารจะได้ดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปีมีนายสมศักดิ์ เกษเสถียร พยานโจทก์ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาลาดกระบัง เบิกความสนับสนุนว่า ระหว่างปี พ.ศ.2523 ธนาคารคิดดอกเบี้ยเงินฝากประจำให้ร้อยละ 12 ต่อปี ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดค่าเสียหายเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี เหมาะสมแล้วไม่ควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นดุจกัน แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงิน 600,000 บาท นั้นยังไม่ชัดแจ้ง เพราะฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่1 ที่ 4 เท่านั้น สมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 4 ร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงิน 600,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share