คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8108/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าคดีใดจะเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ เพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับประเด็นที่คู่ความยกขึ้นโต้เถียงกันในแต่ละชั้นศาล
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท โดยวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง จำเลยกล่าวในฎีกาว่า จำเลยขอสละประเด็นที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์เนื่องจากจำเลยเห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสอง เมื่อประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองของจำเลยยุติไปแล้ว ในชั้นฎีกาย่อมมิใช่คดีมีทุนทรัพย์ต่อไป แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 95913โดยซื้อมาจากนายสำเภา จริตรัมย์ นางถาวร จริตรัมย์และนางสาวสุภาจริตรัมย์ หลังจากโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวแล้วจำเลยยังคงอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ตลอดมา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 95913 ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไปให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทในราคา 160,000 บาทโดยผ่อนชำระเดือนละ 1,600 บาท และผู้จะขายให้จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ได้รับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตเพราะรู้อยู่แล้วว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ 95913 ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์

จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท เมื่อจำเลยให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ1,000 บาท โดยวินิจฉัยเช่นเดียวกันว่าจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง จำเลยกล่าวในฎีกาว่า จำเลยขอสละประเด็นที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์เนื่องจากจำเลยเห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสอง ดังนี้ เมื่อประเด็นในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองของจำเลยยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2แล้ว ในชั้นฎีกาย่อมมิใช่คดีมีทุนทรัพย์ต่อไป แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากริบทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เพราะการที่จะพิจารณาว่าคดีใดจะเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่เพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับประเด็นที่คู่ความยกขึ้นโต้เถียงกันในแต่ละชั้นศาล สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน กับโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกฎีกาของจำเลย จำเลยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา จึงไม่มีค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาที่จะสั่งคืน

Share