แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เผากระท่อมนาราคา 413 บาท ราคาเล็กน้อยไม่น่ากลัวอันตรายต่อผู้ใด เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2499 เวลากลางวันจำเลยกับพวกที่หลบหนีไปได้สมคบกันวางเพลิงจุดเผากระท่อมนา อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนายเรียน สีคำมี ไหม้เสียหายคิดเป็นราคา 413 บาท เหตุเกิดที่ตำบลย่านรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 186, 63 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2475 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธข้อหาโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่ากรณียังเป็นที่สงสัยว่า จำเลยจะไม่ได้กระทำผิดดังกล่าวหา ชอบที่จะยกประโยชน์ให้จำเลยจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่าคำพยานสำคัญของโจทก์ คือนายเดช นายมา เป็นที่น่าสงสัย เพราะไม่ได้เห็นขณะคนร้ายทำการจุดไฟแม้พยานทั้งสองนี้จะเห็นจริงก็ยังไม่พอจะสันนิษฐานได้แน่ชัดว่าจำเลยทั้งสองกับพวกสมคบกันเผากระท่อมนาของผู้เสียหาย เพราะอาจไหม้ขึ้นโดยเหตุอื่นแล้วจำเลยกับพวกไปประสบเหตุเข้าตกใจก็วิ่งออกมาก็ได้ หรือหากจะฟังว่าจำเลยเป็นคนเผาก็อาจเป็นคนใดคนหนึ่งลงมือจุดเผาโดยพลการ โดยมิได้มีการสมคบกันก็ได้ นอกจากนี้พยานยังให้การแตกต่างกันในข้อที่ใครวิ่งอยู่ตรงไหนด้วย สรุปแล้วกรณีเป็นที่น่าสงสัย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว จึงพิพากษายืนแต่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ปรึกษาคดีนี้เห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นปัญหาสำคัญที่ควรขึ้นสู่ศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย จึงอนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ปรากฏว่านายอ่ำจำเลยตายศาลอุทธรณ์สั่งว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 เป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38
โจทก์จึงฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ทางพิจารณาได้ความว่านายเรียนผู้เสียหายได้ปลูกกระท่อมนาไว้หลังหนึ่งที่ฟากคลองลิง ตำบลย่านรี สำหรับไว้พักในฤดูทำนา เสร็จฤดูทำนาก็กลับเข้าบ้าน ทิ้งกระท่อมไว้โดยไม่มีใครดูแล วันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีนี้เวลาบ่ายมีคนจุดเผากระท่อมนาของนายเรียนไหม้หมดทั้งหลัง นายเรียนตีราคา 413 บาท
โจทก์มีนายเดช นายมาเป็นพยานว่าวันเกิดเหตุเวลา 15.00 น. เศษได้เดินผ่านมาทางกระท่อมนานายเรียน มาห่าง 2 เส้นเห็นไฟลุกที่กระท่อมนายเรียน จึงพากันวิ่งเข้าไปดู พอห่างกระท่อม 15 วาก็เห็นจำเลยทั้งสองกับชายอีกคนหนึ่งไม่รู้จักชื่อแต่จำหน้าได้วิ่งออกมาจากกระท่อม นายเดชร้องว่า นายพัน นายอ่ำ ทำไมจุดกระท่อมเขาแต่จำเลยไม่พูดได้วิ่งหนีเข้าป่าไป นายเดช นายมาวิ่งเข้าไปดับไฟแต่ไฟลุกมาก คงดึงกระดานไว้ได้เพียง 3 แผ่น แล้วนายเดชตรงไปบ้านนายเรียนแต่ไม่พบ ๆ ภริยานายเรียนก็บอกว่านายพัน นายอ่ำกับชายไม่รู้จักชื่อจุดกระท่อม พอค่ำลงนายเดชกลับไปหานายเรียนอีกและบอกนายเรียนเช่นที่บอกภริยา นายเรียนสั่งว่าอย่าบอกใครกลัวนายพันนายอ่ำจะหนี รุ่งเช้ามีคนไปตามไปที่บ้านนายพิมพ์ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน นายพิมพ์ถามว่าใครจุดรู้ไหม นายเดชก็บอกว่ารู้แต่ไม่ได้บอกชื่อ นายพิมพ์ก็ไม่ถาม
นอกจากนี้นายเรียนผู้เสียหายเบิกความประกอบว่า วันนั้นนายเรียนไปอำเภอแต่เช้าเย็นจึงกลับมา แล้วนางเหง้าภริยาบอกว่านายอ่ำ นายพันกับชายไม่รู้จักชื่อจุดกระท่อมหมดแล้ว พอค่ำลงนายเดชก็มาบอกว่าเห็นนายอ่ำ นายพันกับชายไม่รู้จักชื่ออีกคนหนึ่งจุดกระท่อม เขาเห็นด้วยกันกับนายมา นายเรียนสั่งนายเดชว่าอย่าบอกใคร รุ่งขึ้นเช้านายเรียนไปแจ้งความกับนายพิมพ์ว่ามีคน 3 คนจุดกระท่อมนาแต่ไม่บอกชื่อเพราะกลัวจะโด่งดัง และบอกว่าจะไปแจ้งความต่อหน่วยสอบสวนให้ไปจับคนร้ายเองแล้วนายเรียนก็ไปแจ้งความต่อตำรวจระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนจุดกระท่อมนายเรียน ตำรวจจึงออกหมายให้นายเลี้ยงผู้ใหญ่บ้านส่งตัวจำเลยมาให้
นายพิมพ์เบิกความสนับสนุนคำนายเรียนว่า วันขึ้น 11 ค่ำเดือน 6เวลาเช้านายเรียนมาแจ้งว่ามีคนจุดไฟกระท่อมเขา แต่ไม่บอกชื่อบอกแต่ว่ารู้ชื่อแล้วและนายเดช นายมาเป็นคนเห็น นายพิมพ์ให้คนไปตามนายเดชมาถาม นายเดชว่าเห็นคนจุดกระท่อมแต่ไม่บอกชื่อ
พลตำรวจสา ศรีสุข เบิกความว่าวันที่ 20 เมษายน นายเรียนมาแจ้งว่าจำเลยกับพวกคนหนึ่งวางเพลิงเผากระท่อมนานายเรียน วันที่ 22 เดือนเดียวกันผู้ใหญ่เลี้ยงก็นำจำเลยมาส่งให้
ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานโจทก์แล้ว ข้อที่ว่ากระท่อมนาผู้เสียหายถูกคนร้ายจุดเผาหรือไหม้โดยเหตุอื่นนั้น โจทก์มีนายเรียน นายพิมพ์เป็นพยานว่าได้ไปตรวจดูที่เกิดเหตุแล้ว เห็นว่าถูกคนจุดเพราะไม่มีเชื้อไฟติดต่อ รอบ ๆ เป็นหญ้าเขียวครึ่งแข้งและเป็นป่าโล่ง จึงพอเชื่อได้ว่ากระท่อมนายเรียนได้ถูกคนจุดเผาไม่ใช่ไฟไหม้ลามมาจากที่อื่น ปัญหาว่าใครเป็นคนจุดเผานั้น โจทก์มีนายเดช นายมา นายเรียนนายพิมพ์พลตำรวจสา เบิกความประกอบกันดังกล่าวข้างต้น ทำให้เชื่อได้ว่าคนที่จุดเผา คือจำเลย ทั้งนี้เพราะนายเดช นายมาได้เห็นจำเลยวิ่งออกมาจากกระท่อมที่ไฟไหม้ นายเดช นายมารู้จักกับจำเลยและไม่มีสาเหตุอะไรกันและนายเดชได้ไปแจ้งเหตุให้นายเรียนทราบทันที ไม่น่าสงสัยว่านายเดชนายมาจะไม่ได้เห็น
ข้อที่ว่า นายเดช นายมาให้การแตกต่างกันตอนเห็นจำเลยวิ่งหนีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนี้เป็นข้อเล็กน้อย พยานคงหลงลืมมากกว่าเพราะในชั้นสอบสวนพยานทั้งสองก็ยังให้การตรงกัน ข้อที่ว่านายเรียนพยานไม่ได้ระบุชื่อต่อนายพิมพ์นั้น พยานแก้ว่าเพราะกลัวจะโด่งดังก็มีเหตุผลเพราะพยานได้บอกผู้ใหญ่บ้านแล้วว่า รู้ชื่อคนร้ายและจะไปบอกตำรวจเองซึ่งต่อมาในวันนั้นพยานก็ไแจ้งต่อตำรวจระบุชื่อจำเลยไว้ จึงไม่มีเหตุจะไม่เชื่อเหตุผลที่พยานอ้าง
ข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่าถึงพยานเห็นจริงก็ไม่เห็นขณะจุด จำเลยอาจไปประสบเหตุเข้าแล้วตกใจจึงวิ่งหนีออกมาก็ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ห่างไกลจากที่เกิดเหตุไม่ได้สู้ในทำนองที่ศาลอุทธรณ์สงสัย จึงไม่มีข้อที่น่าจะคิดว่าการจะเป็นดังนั้นได้
ข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยคนใดคนหนึ่งอาจทำโดยพลการไม่ได้สมคบกันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยวิ่งหนีออกมาจากที่ไฟไหม้ด้วยกันและหนีไปด้วยกัน สันนิษฐานได้ว่าได้สมคบกันมาในการวางเพลิงนั้น
สรุปแล้วศาลฎีกาเชื่อพยานโจทก์ว่า จำเลยได้วางเพลิงเผากระท่อมนานายเรียนจริง มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 186 แต่กระท่อมนานี้มีราคาเล็กน้อย และไม่เป็นเหตุใกล้ต่อภยันตรายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และไฟที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่อาจลุกลามไปถึงทรัพย์แห่งอื่นเพราะตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งนา จำเลยจึงควรมีโทษเบาตาม มาตรา 189 โดยมีโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 324
เหตุนี้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่านายพัน จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 324 ให้จำคุกไว้ 1 ปี 6 เดือน