คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความเสียหายอันเกิดจากการละเมิดนั้น อาจเกิดจากบุคคลหลายคนทำการละเมิดให้เกิดความเสียหายก็ได้ เช่นในคดีขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทและแต่ละฝ่ายอาจรับผิดในความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันได้สุดแต่ศาลจะวินิจฉัยตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถของนายจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นคนขับรถของนายจ้าง จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ที่ 4 ขับรถชนกันโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายตายผู้ตายเป็นหัวหน้าครอบครัวดังนี้เมื่อโจทก์ต่างเป็นผู้อยู่ในความอุปการะของผู้ตายซึ่งต่างเป็นผู้มีประโยชน์ร่วมกันในคดีย่อมเป็นโจทก์ฟ้องร่วมกันได้ตาม มาตรา59 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฝ่ายจำเลยแม้มิได้มีประโยชน์ร่วมกันก็ต้องรับผิดในความเสียหายอันเดียวกันจำเลยทั้ง 4 จึงถูกฟ้องร่วมกันได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่านายบุญทา บุษแก้ว สามีโดยชอบธรรมด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 1 เกิดบุตรด้วยกันที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคือโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งนายบุญทาต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา

จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นนายจ้างจำเลยที่ 4 ในทางการจ้างขับรถยนต์รับคนโดยสารและรับขนของซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 3 นายจ้างจะต้องรับผิดชอบร่วมกันกับจำเลยที่ 2, 4 ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2, 4 ขับรถโดยมิได้ระมัดระวังอันเป็นวิสัยของปุถุชนในขณะที่จะสวนทางกันเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันที่จำเลยทั้งสองขับมาชนกันอย่างแรง ไม้กั้นข้างรถยนต์หักแทงถูกนายบุญทาอาศัยนั่งมาในรถคันที่จำเลยที่ 2 ขับมาถึงแก่ความตาย

เนื่องจากการละเมิดของจำเลยที่ 2, 4 ในทางการจ้างของจำเลยที่ 1, 3 โจทก์ขอให้จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนคือค่าปลงศพ ค่าอุปการะเลี้ยงดูฯ รวมเป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ประมาทเหตุเกิดเพราะถูกรถอีกคันหนึ่งชนเอา จำเลยไม่ต้องรับผิด โจทก์กับนายบุญทามิได้เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องค่าเสียหายเกิดจากการคาดคะเนและสูงเกินควร จำเลยที่ 1, 3 ต่างเป็นเจ้าของรถของตน จำเลยที่ 2, 4 ต่างเป็นลูกจ้างของแต่ละคนแยกกันไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3, 4 ให้การว่าจำเลยที่ 4 มิได้ประมาทเหตุเกิดเพราะรถคันที่จำเลยที่ 2 ขับชนรถจำเลยที่ 3 จำเลยไม่ต้องรับผิด และต่อสู้อย่างอื่นทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1, 2

ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 และ 3, 4 ใช้ค่าปลงศพแก่โจทก์ฝ่ายละ 500 บาท และให้จำเลยทั้ง 4 รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์อีก 19,600 บาท โดยแบ่งความรับผิดดังนี้คือให้จำเลยที่ 1, 2 รับผิด 2 ใน 3 ส่วน และจำเลยที่ 3, 4 รับผิด 1 ใน 3 ส่วน และให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันศาลพิพากษาเป็นต้นไป นับแต่วันละเมิดไม่ได้เพราะจำนวนเงินที่โจทก์ขอมาไม่แน่นอน และไม่ใช่กรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 440

จำเลยทั้ง 4 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้ง 4 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าความเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดนั้นอาจเกิดจากบุคคลหลายคนทำการละเมิดให้เกิดความเสียหายก็ได้เช่นจำเลยที่ 2, 4 ต่างฝ่ายต่างขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทในคดีนี้และจำเลยที่ 1, 3 ต้องรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างตาม มาตรา 425 นายบุญทาผู้ตายเป็นหัวหน้าหาเลี้ยงครอบครัว โจทก์เป็นผู้อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ตาย จึงมีประโยชน์ร่วมกันในคดี ย่อมเป็นโจทก์ฟ้องร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 ฝ่ายจำเลยทั้ง 4 แม้จะมิได้มีประโยชน์ร่วมกันก็ต้องรับผิดในความเสียหายอันเดียวกัน จำเลยทั้ง 4 จึงถูกฟ้องร่วมกันได้

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ความรับผิดในค่าเสียหายไม่ควรจะยิ่งหย่อนกว่ากันนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคต้นบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า “ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด” เรื่องนี้ศาลฟังข้อเท็จจริงแห่งการละเมิดในคดีอาญาว่าจำเลยที่ 2 ประมาทยิ่งกว่าจำเลยที่ 4 ลงโทษหนักกว่าเท่าตัว ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 1, 2 รับผิดในค่าเสียหาย 2 เท่า ของจำเลยที่ 3, 4 จึงเป็นการชอบด้วยพฤติการณ์แห่งคดีและบทกฎหมายแล้ว และเห็นว่าค่าเสียหายนั้นศาลล่างทั้งสองกำหนดให้สมด้วยฐานะของโจทก์แล้วไม่มากเกินไป ฯลฯ

จึงพิพากษายืน

Share