คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8085/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 2 ที่ให้การว่าเห็นไฟเริ่มลุกไหม้กอต้นเบญจมาศและหญ้าในไร่ของจำเลย ต่อมาลุกลามเข้าไปในไร่ของผู้เสียหายที่ 1 คำให้การดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่า ประกอบกับเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะผู้เสียหายด้วย จึงต้องรับฟังอย่างระมัดระวังเพราะจำเลยไม่มีโอกาสที่จะซักค้านพยานดังกล่าวได้ ส่วนคำเบิกความของ ว. ภริยาผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ11 นาฬิกา เห็นจำเลยจุดไฟเผาในไร่ของจำเลยนั้น แม้จะเป็นความจริงตามที่เบิกความแต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 เป็นเวลานานถึงประมาณ 2 ชั่วโมงประกอบกับจุดที่พยานทั้งสองเห็นจำเลยจุดไฟนั้นก็อยู่ด้านทิศใต้ของที่ดินของจำเลยซึ่งมิใช่จุดที่อยู่ใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้เสียหายที่ 1ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจบ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่าไฟที่ไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1นั้น เกิดจากการจุดไฟเผาหญ้าในไร่ของจำเลยแล้วลุกลามเข้าไปในไร่ของผู้เสียหาย นอกจากนี้ผู้เสียหายทั้งสองก็มิได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาจำเลยในทันทีหรือในระยะเวลาอันสมควร ทั้ง ๆ ที่หลังเกิดเหตุเพียงวันเดียวผู้เสียหายที่ 1 ได้ไปพบจำเลยเรียกร้องค่าเสียหาย แต่จำเลยปฏิเสธ การที่ผู้เสียหายทั้งสองเพิ่งจะไปแจ้งความร้องทุกข์หลังจากเกิดเหตุนานถึงประมาณ 20 วันเช่นนี้ ทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 2 เห็นเหตุการณ์ขณะที่เพลิงไหม้ลุกลามจากไร่ของจำเลยเข้าไปสู่ไร่สับปะรดจริงหรือไม่และผู้เสียหายที่ 1 กับ ว. เห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยจุดไฟเผาหญ้าในไร่ของจำเลยจริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวหาหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 225

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 225 ให้จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ได้เกิดเพลิงไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายทั้งสองและเจ้าของที่ดินข้างเคียงรวมทั้งไร่มะม่วงของจำเลยบางส่วน เป็นเหตุให้ต้นสับปะรดในไร่ของผู้เสียหายทั้งสองถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ และ 4 ไร่ ตามลำดับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เหตุเพลิงไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายทั้งสองเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่เพลิงไหม้ลุกลามจากไร่ของจำเลยเข้าไปในไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริง คงมีแต่เฉพาะคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 2 ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.9เท่านั้น โดยผู้เสียหายที่ 2 ให้การว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13 นาฬิกาขณะที่ผู้เสียหายที่ 2 เดินออกจากบ้านพักเข้าไปในไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอยู่ติดกันกับไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 2 ได้เห็นไฟเริ่มลุกไหม้กอต้นเบญจมาศและหญ้าในไร่ของจำเลย ต่อมาไฟได้ลุกลามเข้าไปไหม้ในไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 คำให้การของผู้เสียหายที่ 2ดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า ประกอบกับเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียในฐานะผู้เสียหายด้วย จึงต้องรับฟังอย่างระมัดระวังเพราะจำเลยไม่มีโอกาสที่จะซักค้านพยานดังกล่าวได้ ส่วนคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 และนางวิไล จันทร์ชูกลิ่น ภริยาของผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ขณะที่พยานทั้งสองไปตรวจดูไร่สับปะรดที่เกิดเหตุ เห็นจำเลยจุดไฟเผาในไร่ของจำเลยนั้น แม้จะเป็นความจริงตามที่พยานทั้งสองเบิกความแต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 เป็นเวลานานถึงประมาณ2 ชั่วโมง ประกอบกับจุดที่พยานทั้งสองเห็นจำเลยจุดไฟนั้นก็อยู่ด้านทิศใต้ของที่ดินของจำเลยซึ่งมิใช่เป็นจุดที่อยู่ใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้เสียหายที่ 1 ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่อาจบ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่าไฟที่ไหม้ไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 นั้น เกิดจากการจุดไฟเผาหญ้าในไร่ของจำเลยแล้วลุกลามเข้าไปในไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 นอกจากนี้ก็ปรากฏว่าภายหลังจากเกิดเหตุแล้ว ผู้เสียหายทั้งสองก็มิได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาจำเลยในทันทีหรือในระยะเวลาอันสมควรทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความว่าหลังจากเกิดเหตุเพียงวันเดียวผู้เสียหายที่ 1 ได้ไปพบจำเลยเรียกร้องค่าเสียหายแต่จำเลยปฏิเสธ ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องรอเจรจากับจำเลยอีกการที่ผู้เสียหายทั้งสองเพิ่งจะไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจภายหลังจากเกิดเหตุนานถึงประมาณ 20 วันเช่นนี้ ทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 2 เห็นเหตุการณ์ขณะที่เพลิงไหม้ลุกลามจากไร่ของจำเลยเข้าไปสู่ไร่สับปะรดของผู้เสียหายที่ 1 จริงหรือไม่ และผู้เสียหายที่ 1กับนางวิไลเห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยจุดไฟเผาหญ้าในไร่ของจำเลยจริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวหาหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share