แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์นำเงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยมาชำระหนี้หลังจากสัญญาบัตรเครดิตและข้อตกลงในสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้วจึงเป็นการกระทำของโจทก์เอง หาใช่ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้โดยชำระหนี้ให้เจ้าหนี้บางส่วนไม่ กรณีย่อมไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่างๆ เรียกเอาเงินที่ได้ทดรองไป สิทธิเรียกร้องของโจทก์มีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 82,316.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 57,060.09 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 57,060.09 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (25 ตุลาคม 2544) ต้องไม่เกิน 25,256.88 บาท และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่า มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2542 ครบกำหนดชำระหนี้วันที่ 25 สิงหาคม 2542 เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ในเวลาที่โจทก์กำหนด จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2542 และเริ่มนับอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์นับแต่นั้นมา หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ยอมให้จำเลยใช้บัตรเครดิตอีก โดยได้ความจากนางสมพรพยานโจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าส่วนในธนาคารโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า โจทก์ยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของจำเลยเมื่อเดือนสิงหาคม 2542 ซึ่งตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตข้อ 2 ระบุว่า ธนาคารมีสิทธิที่จะแจ้งยกเลิกการใช้หรือเรียกคืนเมื่อใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลและไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้า กรณีนี้ผู้ถือบัตรไม่มีสิทธิใช้บัตรเครดิตอีกต่อไป การที่โจทก์ยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของจำเลย จึงถือว่าโจทก์เลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว สัญญาบัตรเครดิตระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมเป็นอันเลิกกันนับแต่เวลาดังกล่าว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง สัญญาบัตรเครดิตรวมทั้งข้อตกลงที่ให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลย ซึ่งเป็นเงื่อนไขการชำระหนี้บัตรเครดิตตามที่ระบุไว้ในใบสมัครบัตรเครดิตย่อมต้องสิ้นสุดลงด้วย แม้จะปรากฏว่ามีการนำฝากเช็คเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยในวันที่ 9 กันยายน 2542 ก็ไม่ทำให้สัญญากลับเกิดขึ้นมาอีก การที่โจทก์นำเงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยมาชำระหนี้หลังจากสัญญาบัตรเครดิตและข้อตกลงในสัญญาได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงเป็นการกระทำของโจทก์เอง หาใช่ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้โดยชำระหนี้ให้บางส่วนไม่ กรณีย่อมไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) โจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาเงินที่ได้ทดรองไป สิทธิเรียกร้องของโจทก์มีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.