คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5817/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทเพื่อปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัย ก็ย่อมจำเป็นต้องถมดินเพื่อปรับระดับพื้นให้สูงพ้นจากน้ำท่วม อันเป็นการกระทำเพื่อครอบครองใช้สอยที่ดินพิพาทของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 แม้ว่าขณะนั้นโจทก์ทั้งสองทราบอยู่แล้วว่า จำเลยกำลังร้องขอต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อขอซื้อที่ดินพิพาทกับได้ฟ้องร้องต่อโจทก์ทั้งสอง แต่ก็ยังมิได้มีผลแพ้ชนะกันออกมา ดังนั้น การที่โจทก์ทั้งสองถมดินในที่ดินพิพาทเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยที่ดินของตน จึงไม่อาจฟังได้ว่า เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เมื่อจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทมาในราคาเดียวกับราคาที่โจทก์ทั้งสองซื้อมา จำเลยจึงได้ดินถมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมดิน และได้มูลค่าที่ดินพิพาทเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อเทียบกับราคาที่ดินพิพาทที่ยังไม่ได้ถม ดินถมดังกล่าวและมูลค่าที่ดินพิพาทที่เพิ่มขึ้นนั้น ถือว่าเป็นการเพิ่มพูนกองทรัพย์สินของจำเลย จึงเป็นทรัพย์สิ่งใดที่จำเลยได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เป็นลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406 จำเลยจึงต้องชดใช้ราคาที่ดินที่โจทก์ทั้งสองถมที่ดินไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ราคาดินที่โจทก์ทั้งสองถมไปบนที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวน 400 คันรถบรรทุก ในราคาคันละ 550 บาท รวมเป็นเงิน 220,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสองแทนการขุดตักดินออกจากที่ดินแปลงดังกล่าวของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรม นางสำเภา โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามที่โจทก์ทั้งสองชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรม นายบุญช่วยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 100,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เห็นสมควรให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ดินพิพาทเดิมมีสภาพเป็นที่ราบลุ่มใช้ทำนา โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทเพื่อปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยก็ย่อมจำเป็นต้องถมดินเพื่อปรับระดับพื้นให้สูงพ้นจากน้ำท่วมอันเป็นการกระทำเพื่อครอบครองใช้สอยที่ดินพิพาทของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แม้ว่าขณะนั้นจำเลยจะได้โต้แย้งไม่ให้ถมดิน และยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลกุฎี กับต่อมาได้ฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ แต่ก็ยังมิได้มีผลแพ้ชนะกันออกมา จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าจำเลยจะเป็นฝ่ายชนะหรือไม่ ดังนั้นการที่โจทก์ทั้งสองถมดินในที่ดินพิพาทเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยที่ดินของตนจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เมื่อจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทมาในราคาเดียวกับราคาที่โจทก์ทั้งสองซื้อมาจากนางแป้งหอมแต่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้นำดินมาถมที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยจึงได้ดินถมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถมดินและได้มูลค่าที่ดินพิพาทเพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อเทียบกับราคาที่ดินพิพาทที่ยังไม่ได้ถม ดินถมดังกล่าวและมูลค่าที่ดินพิพาทที่เพิ่มขึ้นนั้นถือว่าเป็นการเพิ่มพูนกองทรัพย์สินของจำเลย จึงเป็นทรัพย์สิ่งใดที่จำเลยได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เป็นลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 และต้องคืนให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share