คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกู้เงินโจทก์โดยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ต่อมาเมื่อถึงกำหนด จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้โจทก์จำเลยจึงตกลงทำสัญญาซื้อขายที่พิพาท โดยตีราคาที่พิพาทเท่ากับยอดรวมของต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ดังนี้สัญญาซื้อขายที่พิพาทจึงเกิดจากหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และแม้ราคาบางส่วนคือเงินต้นจะเป็นหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาแบ่งแยกซื้อขายที่พิพาทบางส่วนในราคาเท่ากับต้นเงินที่ค้างชำระ สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก) ให้แก่โจทก์ ตามข้อตกลงในสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลย หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากจดทะเบียนโอนไม่ได้ให้ชดใช้เงินจำนวน 23,800 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องให้โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2529จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 10,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนต่อมาถึงกำหนดจำเลยไม่ได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ใหม่เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 โดยนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระ 7,000 บาท มารวมเป็นต้นเงินกู้ 17,000 บาท และคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน หลังจากนั้นเมื่อถึงกำหนด จำเลยไม่ชำระหนี้ทั้งหมด โจทก์จำเลยจึงทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทเมื่อวันที่ 26มีนาคม 2531 โดยกำหนดราคาที่ดินเป็นเงิน 23,800 บาท เท่ากับเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้าง แล้ววินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โดยเห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยจึงเป็นหนี้เงินกู้โจทก์เพียง 10,000บาทส่วนอีก 13,800 บาท เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475มาตรา 3 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 จึงตกเป็นโมฆะ สัญญาซื้อขายที่พิพาทจึงเกิดจากหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้ราคาที่พิพาทที่กำหนดในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายที่ดินบางส่วนในราคาต้นเงิน 10,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระอยู่สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ที่แก้ไขใหม่โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share