คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์เพียง 10,000 บาท ส่วนอีก 13,800 บาทเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475มาตรา 3 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654จึงตกเป็นโมฆะ สัญญาซื้อขายที่พิพาทกำหนดราคาเท่ากับต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระ จึงเกิดจากหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้ราคาที่กำหนดในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายที่พิพาทบางส่วนในราคาเงินต้น 10,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระอยู่ สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ที่แก้ไขใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) เลขที่ 2 ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้โจทก์ จำเลยได้รับเงินครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาและตกลงจะโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ครบกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ขอให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ภายใน 30 วันนับแต่วันพิพากษา หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจดทะเบียนโอนที่ดินไม่ได้ให้ชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2 ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองเพชรบูรณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2529 จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 10,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ตามสัญญากู้เอกสารหมาย ล.2 ต่อมาถึงกำหนดจำเลยไม่ได้ชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ใหม่เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม2530 โดยนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระ 7,000 บาท มารวมเป็นต้นเงินกู้จำนวน 17,000 บาท และคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือนตามสัญญากู้เอกสารหมาย ล.1 หลังจากนั้นเมื่อถึงกำหนดชำระจำเลยไม่ได้ชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์จำเลยจึงทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2531 โดยกำหนดราคาที่พิพาทจำนวน 23,800 บาท เท่ากับเงินต้นและดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระอยู่ในสัญญากู้เอกสารหมาย ล.1
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวมา จำเลยจึงเป็นหนี้เงินกู้โจทก์อยู่เพียง 10,000 บาทส่วนอีก 13,800 บาท เป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 จึงตกเป็นโมฆะ สัญญาซื้อขายที่พิพาทจึงเกิดจากหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ราคาที่พิพาทที่กำหนดในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายที่พิพาทบางส่วนในราคาเงินต้น 10,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระอยู่สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ที่แก้ไขใหม่ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share