แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกเกิดวิวาทชกต่อยกับโจทก์ร่วมและพวกในวงสุราหน้าบ้านโจทก์ร่วมมีผู้ห้ามก็เลิกกัน จำเลยพกปืนกลับมาที่วงสุราอีก แต่ถูกโจทก์ร่วมค้นตัวจนหนีกลับบ้านการที่โจทก์ร่วมกับพวกตามไปถึงใต้ถุนบ้านจำเลย จึงเป็นเพราะอยากหาเรื่องกับจำเลย เป็นการตามไปคุกคามจะทำร้ายจำเลยถึงในบ้าน จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมกับพวกจึงเป็นการป้องกันตัว แต่โจทก์ร่วมกับพวกไม่มีอาวุธอะไรหากจำเลยยิงปืนเพียงนัดเดียวก็น่าจะเป็นเหตุให้หลบหนีไปแล้ว แต่จำเลยยิงปืนถึง 4 นัด กระสุนปืนถูก ว.ถึงแก่ความตาย และถูกโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,69
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 371, 91, 69 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 4.4ข้อ 3.7 ฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อป้องกันตนเองเกินกว่าเหตุเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบ มาตรา 69 อันเป็นบทหนัก จำคุก 3 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ปรับ 1,000 บาทของกลางริบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 15 ปี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาในชั้นนี้เพียงว่า ที่จำเลยยิงผู้ตายและโจทก์ร่วมเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้จากทางนำสืบของโจทก์จำเลยว่า ใกล้จะเกิดเหตุจำเลยกับนายนัฐชัย หรือแดง ณรงค์ฤทธิเดช ฝ่ายหนึ่งเกิดวิวาทชกต่อยกับโจทก์ร่วมและนายปัญญา วงศ์สมบูรณ์ อีกฝ่ายหนึ่งในวงสุราหน้าบ้านโจทก์ร่วมเองโจทก์นำสืบโจทก์ร่วม นายปัญญา และนายชาญณรงค์ หิรัญญะเวช ต่อไปว่าเมื่อมีผู้ห้ามเลิกกันได้ก็กลับดื่มสุรากันต่อไป เว้นแต่จำเลยหายไป ครู่หนึ่งจึงกลับมา โจทก์ร่วมสงสัยจำเลยจะไปเอาปืนมาตามนิสัย จึงขอค้นจำเลยปัดป้องและถอยหลังไปชนรถยนต์ล้มลง แล้วลุกขึ้นชักปืนมาจ้องโจทก์ร่วม ขู่ไม่ให้ตามแล้วเดินกลับบ้าน โจทก์ร่วมกับพวกที่เกิดเหตุในวงสุราและชาวบ้านตามไปดูจำเลยถึงใต้ถุนบ้าน ส่วนจำเลยนำสืบถึงพฤติการณ์ช่วงนี้ โดยตนเองกับนายนัฐชัยว่าพอเกิดชกต่อยกัน เพื่อนและญาติของโจทก์ร่วมเข้าบ้านโจทก์ร่วมอามีดไม้มารุมจะทำร้ายจำเลย จำเลยจึงหนีกลับบ้านโดยโจทก์ร่วมกับพวกไล่ไปทันที่ใต้ถุนบ้านจำเลย ร้องท้าทายให้ออกไปสู้กัน เห็นว่าแต่ละฝ่ายต่างก็นำสืบได้ข้อเท็จจริงไปฝ่ายละอย่าง แต่โจทก์มีพยานซึ่งเป็นคนกลางด้วยคือ นายชาญณรงค์ หิรัญญะเวช จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อกว่า ฟังได้ว่าจำเลยพกปืนกลับมาที่วงสุราอีก แต่ถูกโจทก์ร่วมตามค้นตัวจนหนีกลับบ้าน การที่โจทก์ร่วมกับพวกตามไปถึงใต้ถุนบ้านจำเลย จึงเป็นเพราะอยากจะหาเรื่องกับจำเลย นายสมาน บุญมาเลิศ พยานโจทก์เองก็เบิกความว่าจำเลยถือปืนส่ายไปมาในลักษณะห้ามโจทก์ร่วมและพวกขึ้นบ้านของตน จึงเชื่อว่าโจทก์ร่วมกับพวกติดตามไปคุกคามจะทำร้ายจำเลยถึงในบ้าน การที่จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมกับพวกจึงเป็นการป้องกันตัว
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ ได้ความจากนายสมานว่า ฝ่ายโจทก์ร่วมไม่มีอาวุธ นายประชุม แจ้งกิตติชัยพยานจำเลยก็เบิกความเพียงว่า พวกโจทก์ร่วมผลักมารดาจำเลยล้มลงแล้ววิ่งตามจำเลยขึ้นไปบนบ้านก็พอดีมีเสียงปืนดังขึ้นเท่านั้น จึงน่าเชื่อว่าก่อนจำเลยใช้ปืนยิงใส่กลุ่มโจทก์ร่วมพวกโจทก์ร่วมไม่มีใครเงื้อมีดหรือไม้แต่อย่างใด เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมหรือพวกโจทก์ร่วมมีอาวุธอะไร หากจำเลยยิงปืนเพียงนัดเดียวก็น่าจะเป็นเหตุให้พวกที่ติดตามไปคุกคามจะทำร้ายจำเลยถึงในบ้านนั้นแตกวงหลบหนีกันไปแล้ว แต่จำเลยได้ยิงปืนถึง 4 นัด กระสุนปืนถูกนายวีระถึงแก่ความตาย และถูกโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษนั้น พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีดังได้กล่าวมาแล้ว ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะลงโทษเบากว่าโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยได้ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้ เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น