แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเกิดในประเทศไทยในขณะที่ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 ใช้บังคับ บิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่มารดาเกิดในประเทศไทย แม้เมื่อจำเลยเป็นผู้เยาว์ บิดาได้นำชื่อจำเลยไปจดทะเบียนไว้ต่อสถานเอกอัครราชฑูตอังกฤษก็ตาม ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นคนมีสัญชาติไทย ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 ม.3 ข้อ 3 การที่บิดานำเอาชื่อจำเลยไปจดทะเบียนไว้ต่อสถานเอกอัครราชฑูตอังกฤษ หาทำให้จำเลยเสียสัญชาติไทยไปไม่.
ย่อยาว
เรื่อง ไม่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๙๓ ม.๕,๒๐ และ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๔๙๕ ม.๔
ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเกิดในประเทศไทยในขณะที่ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๔๕๖ ใช้บังคับอยู่ บิดาจำเลยเป็นคนเชื้อชาติอินเดีย บังคับอังกฤษ มารดาจำเลยเลยก็เป็นเชื้อชาติอินเดีย บังคับอังกฤษ แต่เกิดในประเทศไทย เมื่อจำเลยเป็นผู้เยาว์อยู่ บิดาได้นำชื่อจำเลยไปจดทะเบียนไว้ต่อเอกอัครราชฑูตอังกฤษ และเมื่อจำเลยบรรลุนิติภาวะมาเกิน ๒ ปี แล้ว มิได้ขอถือเป็นคนสัญชาติไทย
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีข้อตกลงในสนธิสัญญาว่าด้วยการจดบัญชีคนในบังคับอังกฤษในกรุงสยาม ลงชื่อที่กรุงเทพ ฯ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๘ ระหว่างรัฐบาลสยามและรัฐบาลอังกฤษ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ต้องถือว่าจำเลยเป็นคนมีสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. ๒๔๕๖ ม.๓ ข้อ ๓ ซึ่งบัญญัติว่า บุคคลผู้ได้กำเนิดในพระราชอาณาจักรสยามเป็นคนไทย ไม่มีเหตุอย่างใดที่จำเลยต้องเสียสัญชาติไทยไปโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ส่วนการที่บิดานำเอาชื่อจำเลยไปจดทะเบียนไว้ต่อสถานเอกอัครราชฑูตอังกฤษนั้น หาทำให้จำเลยเสียสัญชาติไทยไปไม่ เมื่อจำเลยยังมีสัญชาติไทยอยู่ จำเลยก็ไม่ต้องมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตาม พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าวที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ เพราะคนต่างด้าวตาม พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.๒๔๙๓ มาตรา๔ ให้วิเคราะห์ศัพท์ว่า หมายความว่าคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ